ผูกขาด




          หากเราลองถามผู้ที่ทำธุรกิจการค้าดูว่าชอบหรือไม่หากได้เป็นผู้ขายสินค้าชนิดหนึ่งแต่เพียงผู้เดียวในท้องตลาด โดยไม่มีใครขายสินค้าแข่งให้เดือดร้อนรำคาญใจ เชื่อได้ว่าไม่ว่าเป็นใครก็ต้องชอบใจด้วยกันทั้งนั้น ใครจะไม่ชอบถ้าผลิตสินค้าออกมาเท่าไหร่ก็ขายได้หมด ใครต้องการจะซื้อหาจะใช้สินค้าชนิดนั้นก็หาได้ที่เดียว แม้ในท้องตลาดทุกวันนี้แทบไม่มีสินค้าชนิดใดที่ผลิตขายอยู่เจ้าเดียวก็ตาม แต่หากถามใจของคนขายสินค้า แทบทุกรายล้วนต้องการให้สินค้าตัวเองได้ขายอยู่เจ้าเดียวด้วยกันทั้งนั้น
          ความชอบใจของคนขายสินค้าที่สามารถขายสินค้าได้อยู่เจ้าเดียวประการหนึ่งคือจะ ตั้งราคา สินค้านั้นเท่าใดก็ได้ตามต้องการ หากตั้งราคาแล้วได้กำไรยังไม่เป็นที่น่าพอใจก็ขึ้นราคาเสีย จะได้มีกำไรมากขึ้นตามที่ต้องการ สมมติว่าวันนี้ขายสินค้าอยู่ชิ้นละ 100 บาท มีกำไรชิ้นละ 10 บาท ทุกวันนี้ผลิตสินค้าขายปีละ 10 ล้านชิ้น คิดแล้วได้กำไรปีละ 100 ล้านบาท

วันดีคืนดีมาคิดทบทวนดูว่ากำไรที่ได้มาไม่พอจะใช้สร้างอาคารสำนักงานใหม่ให้หรูหรากว่าเดิม และไม่เพียงพอจะซื้อ เครื่องบินส่วนตัวสำหรับผู้บริหาร เพื่อให้สามารถใช้เดินทางไปไหนมาไหนโดยสะดวก ไม่ต้องไปรอเที่ยวบินของสายการบินพาณิชย์ที่มีตารางบินที่แน่นอน จึงได้กำหนดราคาใหม่เป็นชิ้นละ 110 บาท ทำให้กำไรเพิ่มขึ้นจากชิ้นละ 10 บาทเป็นกำไรชิ้นละ 20 บาท เพียงเท่านี้ก็ทำให้ได้กำไรเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเท่าตัวเป็นปีละ 200 ล้านบาท โดยไม่ต้องออกแรงให้เหนื่อยเพิ่มขึ้น เพราะวัตถุดิบก็ใช้เท่าเดิม แรงงานก็ใช้เท่าเดิม เวลาผลิตและดำเนินการก็ใช้เท่าเดิม แต่กลับได้กำไรมากขึ้นอีกหนึ่งเท่าตัว เหมือนอยู่ดีๆ มีคนนำเงินมาแถมให้อีก 100 ล้านบาท เป็นใครก็ต้องการได้เป็นธรรมดา

หากถามว่าเงินจำนวน 100 ล้านบาทที่ลอยเข้ากระเป๋าผู้ขายสินค้าชนิดนี้มาจากที่ใด คำตอบเป็นที่เห็นได้ชัดเจนและตอบได้ไม่ยากว่ามาจาก กระเป๋า ของบรรดาผู้ซื้อสินค้าชนิดนั้นนั่นเอง เพราะผู้ซื้อสินค้าไม่มีทางเลือกอื่น หากต้องการใช้สินค้าชนิดนี้ก็ต้องมาซื้อหาจากผู้ขายสินค้ารายนี้เท่านั้น ไปที่อื่นก็ไม่มีสินค้าแบบเดียวกันขาย เงินที่ทำให้ผู้ขายสินค้ารายนี้ รวย ขึ้นอีก 100 ล้านบาทเป็นเงินจำนวนเดียวกับที่ออกจากกระเป๋าของผู้ซื้อและทำให้ผู้ซื้อ จน ลงอีก 100 ล้านบาทด้วยเช่นกัน เพียงแต่เราอาจจะไม่นึกว่าจำนวนจะมากมายขนาดนี้เพราะเงินที่ออกจากกระเป๋าผู้ซื้อแต่ละคนมีจำนวนไม่มากนัก หากคนหนึ่งซื้อสินค้าเพียง 1 ชิ้น จำนวนเงินที่จ่ายเพิ่มเพียงคนละ 10 บาทเท่านั้น แต่พอรวมๆ กันกับเงินที่ผู้ซื้อสินค้าชนิดนี้ทุกรายต้องจ่ายเพิ่มแล้วถึงได้ทำให้กลายเป็นเงินจำนวนมหาศาลขึ้นมาทันที

เราคงคิดได้ไม่ยากว่าหากราคาที่เพิ่มขึ้นนั้นไม่ใช่เพียงแค่ 10 บาท แต่หากกลายเป็น 20 หรือ 30 บาท จำนวนเงินที่ออกจากกระเป๋าของผู้บริโภคไปสู่ผู้ประกอบธุรกิจที่ ผูกขาด มากขึ้นเพียงใด แต่ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ไม่ได้ต้องการจะบอกว่า พฤติกรรม ลักษณะนี้เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายในตัวเองที่กฎหมายจะยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้ หากแต่ต้องการเพียงแสดงให้เห็น ผลกระทบ ที่อาจจะเกิดขึ้นหากมีการ ผูกขาด ในตลาดสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งเท่านั้นว่า จะทำให้มีการ ถ่ายโอน เงินทองที่ควรจะอยู่ในกระเป๋าผู้ซื้อไปสู่กระเป๋าของผู้ประกอบธุรกิจได้ไม่ยาก

ความต้องการที่จะทำมาค้าขายให้ได้กำไรมากๆ เป็นเรื่องธรรมดาที่จะเกิดขึ้นกับผู้ที่ทำมาค้าขาย เราคงไม่สามารถห้ามอย่างเด็ดขาดด้วยกฎหมายได้ว่า ห้าม ไม่ให้ผู้ประกอบธุรกิจรายใด ผูกขาด ตลาดสินค้าอย่างหนึ่งอย่างใดหรือแม้แต่ห้ามในทำนองที่ว่าไม่ให้ผู้ประกอบธุรกิจรายใดมี อำนาจเหนือตลาด มากจนสามารถบงการทิศทางราคาสินค้าในตลาดได้ หากแต่ต้องดูเป็นรายกรณีไปว่าการ ผูกขาด หรือ อำนาจเหนือตลาด ที่ว่าเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ผู้ประกอบธุรกิจใช้วิธีการไหนในการได้อำนาจ ผูกขาด หรือ อำนาจเหนือตลาด นั้นมา และเมื่อได้มาแล้ว ได้ใช้อำนาจ ผูกขาด หรือ อำนาจเหนือตลาด นั้นไปในลักษณะใดบ้าง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ความรับผิดของผู้ถือหุ้น หุ้นส่วน หรือบุคคลที่มีอำนาจควบคุมนิติบุคคล

ฮั้ว

บางครั้งก็ต้องยอม