ความเสียหายต่อตัวสินค้าที่ไม่ปลอดภัย
แม้ว่าจะมีการผลิตสินค้าที่ไม่ปลอดภัยและวางจำหน่ายสินค้านั้น
แต่หากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยนั้นไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายกับใคร
กฎหมายว่าด้วยความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยก็คงไม่จำเป็นต้องไปเกี่ยวข้อง
และหากจะมีการดำเนินการหรือเรียกร้องอะไรต่อกันในกรณีดังกล่าวก็ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการปกติ
ก่อนที่เราจะไปดูรายละเอียดว่า
“ความเสียหาย”
ที่เกิดขึ้นที่กฎหมายว่าด้วยความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยกำหนดให้ต้องใช้ค่าเสียหายกันนั้นเป็นอย่างไรบ้าง
เราไปดูกันก่อนสักนิดว่า “ความเสียหาย”
ตามกฎหมายดังกล่าวไม่รวมเรื่องอะไรบ้างแล้วค่อยไปดูว่ามีอะไรบ้างที่จะถือเป็นความเสียหายที่กฎหมายกำหนด
หากจำกันได้เกี่ยวกับเหตุการณ์เรื่องแบตเตอรี่รุ่น
“ลองทอล์ค” ที่บริษัทไฮโฟน จำกัด
สั่งจากประเทศจีนเข้ามาขายและ “นายชัย” ซื้อไปใช้จนเกิดระเบิดขึ้น ทำให้นายชัยได้รับบาดเจ็บ
ถ้าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเปลี่ยนไปเป็นว่าแบตเตอรี่ก้อนดังกล่าวไม่ได้เกิดระเบิดขึ้นระหว่างที่นายชัยพกพาอยู่
แต่เกิดระเบิดขึ้นขณะที่นายชัยถอดวางอยู่บนโต๊ะหินตัวหนึ่งที่บ้าน
ด้วยความที่โต๊ะหินมีความแข็งแรงกว่าโต๊ะไม้ธรรมดาจึงไม่ได้เสียหายอะไร
เพียงแต่เป็นรอยไหม้พอใช้ผ้าชุบน้ำก็สะอาดดีเหมือนเดิม สิ่งเดียวที่เสียหายในกรณีนี้คือตัวแบตเตอรี่ที่นายชัยถอดวางไว้เท่านั้น
กรณีนี้แม้ว่าแบตเตอรี่รุ่นลองทอล์คนี้จะเป็นสินค้าที่มี
“ความบกพร่อง”
และสินค้านั้นทำให้เกิดความเสียหายขึ้นก็ตาม
แต่เนื่องจากบังเอิญไม่มีใครอยู่ใกล้และของอย่างอื่นก็ไม่มีอะไรเสียหายเป็นพิเศษ
คงมีแต่เพียงแบตเตอรี่ต้นเหตุของปัญหาเท่านั้นที่ระเบิดพังไป
ความเสียหายชนิดที่เกิดขึ้นนี้เราเรียกว่าเป็น “ความเสียหายต่อตัวสินค้าที่ไม่ปลอดภัย”
เพราะเป็นส่วนของราคาของตัวสินค้าที่ไม่ปลอดภัยที่เกิดปัญหาจนใช้การไม่ได้
“ความเสียหายต่อตัวสินค้าที่ไม่ปลอดภัย”
นี้เป็นความเสียหายส่วนที่ไม่รวมอยู่ในขอบเขตของกฎหมายว่าด้วยความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย
แม้ว่าจะเป็นความเสียหายส่วนหนึ่งที่เกิดขึ้นก็ตาม
การที่ไม่รวมอยู่ในขอบเขตของกฎหมายดังกล่าวไม่ได้หมายความว่าทำอะไรกับความเสียหายส่วนนี้อะไรไม่ได้เลย
เพียงแต่ว่าการจะเรียกร้องให้ชดใช้หรือชดเชยราคาของตัวแบตเตอรี่ที่เสียหายนี้จะเรียกได้หรือไม่
หรือเรียกได้เป็นจำนวนเท่าใด ไม่ได้ใช้กฎหมายว่าด้วยความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยที่เรากำลังกล่าวถึงอยู่เท่านั้น
ถ้าถามต่อไปว่าหากไม่ใช้กฎหมายนี้แล้วจะไปใช้กฎหมายอะไรหรือจะต้องทำอย่างไรก็คงตอบได้ว่าการจะเรียกร้องได้หรือไม่หรือได้เท่าใดต้องเป็นไปตามกฎหมายอื่น
เช่น หากผู้ซื้อสินค้าที่ไม่ปลอดภัยนั้นต้องการเรียกร้องค่าแบตเตอรี่ที่เสียหาย
ทำให้ตนไม่ได้ใช้งานแบตเตอรี่ที่ซื้อมา ผู้ซื้อนั้นก็ต้องไปอาศัยหลักเกณฑ์ตามกฎหมายเกี่ยวกับเรื่อง
“ซื้อขาย”
และดูว่าสิทธิหน้าที่ของผู้ซื้อผู้ขายในกรณีนั้นเป็นอย่างไร
ลักษณะของความเสียหายอยู่ในขอบเขตของ “ความชำรุดบกพร่อง” ตามที่กฎหมายกำหนดหรือไม่
ข้อสัญญาเกี่ยวกับเรื่องการรับประกันสินค้ากำหนดไว้อย่างไรบ้าง เป็นต้น การจะเรียกร้องในกรณีดังกล่าวนี้ก็อาจจะต้องเรียกร้องกับบุคคลที่รับผิดชอบคนละคนกับที่ต้องรับผิดตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย
เพราะเมื่อเป็นเรื่อง “ซื้อขาย”
ผู้ซื้อก็ต้องไปเรียกจากตัวคนที่เป็น “ผู้ขาย” สินค้านั้น จะไปเรียกจากคนอื่นที่ไม่ได้เกี่ยวข้องหรือขายสินค้านั้นให้แก่ตัวเราไม่ได้
เช่น ตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยให้สิทธิเราในการเรียกร้องความเสียหายจาก
“ผู้ใช้ชื่อหรือแสดงด้วยวิธีใดที่ทำให้เข้าใจว่าเป็นผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า” ได้ด้วย เพื่อเป็นการเพิ่มความคุ้มครองให้แก่ผู้เสียหาย
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง บริษัทนั้นอาจจะทำหน้าที่เป็นเพียง “นายหน้า”
ที่ไม่ได้ขายสินค้าชนิดนั้นโดยตรงและทำหน้าที่เพียงช่วยหาลูกค้าให้กับคนที่เป็น “ผู้ผลิต” เท่านั้น หากเราจะใช้สิทธิเรียกร้อง “ราคาสินค้า” ที่เสียหายไป
เราย่อมจะไปเรียกร้องเอาจากผู้ใช้ชื่อทางการค้าที่ทำให้เข้าใจว่าเป็นผู้ผลิตไม่ได้เพราะคนๆ
นั้นเป็นเพียง “นายหน้า” ไม่ได้เป็น “คู่สัญญา” ในการซื้อขายสินค้านั้นกับเราเอง
หากจะเรียกร้องอะไรกันโดยอาศัยสัญญา “ซื้อขาย” ก็ต้องไปเรียกจากคนที่เป็น “ผู้ขาย”
ในอีกกรณีหนึ่งที่การเรียกร้องตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยแตกต่างกับการเรียกร้องตามกฎหมายอื่นโดยเฉพาะในเรื่อง
“ซื้อขาย” คือในเรื่องความรับผิดของ “ผู้ขาย” นั่นเอง
ถ้ากรณีที่เกิดขึ้นนั้นเรารู้ตัวผู้ผลิต ผู้ว่าจ้างหรือผู้นำเข้าสินค้าที่ไม่ปลอดภัย
ผู้ขายสินค้าก็ไม่จำเป็นต้องรับผิดตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยเพราะมีตัวบุคคลที่ต้องรับผิดชอบโดยตรงอยู่แล้ว
เมื่อตัว “ผู้ขาย” ไม่ต้องรับผิด
การจะเรียกร้องเงินค่าเสียหายในส่วนของราคาสินค้าที่ไม่ปลอดภัยที่เสียหายไปย่อมจะไม่สามารถทำได้เนื่องจากกรณีนี้ตัวผู้ผลิต
ผู้ว่าจ้างให้ผลิต หรือผู้นำเข้าอาจจะไม่ได้เป็นผู้ขายสินค้าให้กับเราโดยตรง
เราจึงไม่มีความสัมพันธ์ในฐานะ “ผู้ซื้อ” และ “ผู้ขาย” กับตัวผู้ผลิต
ผู้ว่าจ้างให้ผลิตหรือผู้นำเข้าที่ถูกฟ้องในกรณีนี้
หากผู้ที่ได้รับอันตรายจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยไม่ได้เป็นคนที่เป็นผู้ซื้อสินค้านั้นเอง
แต่อาจจะเป็นคนอื่นที่บังเอิญผ่านมาในบริเวณใกล้เคียงแล้วเกิดอันตรายขึ้น เช่น ถ้าขณะที่แบตเตอรี่ที่นายชัยถอดวางไว้ระเบิดขึ้น
บังเอิญว่า “นายชิด” ซึ่งเป็นญาติของนายชัยเดินผ่านมาพอดี
สะเก็ดระเบิดเข้าตาของนายชิดจนทำให้นายชิดตาบอด แน่นอนว่านายชิดเกิดความเสียหายขึ้นหลายประการ
แต่ในส่วนของราคาค่าแบตเตอรี่ที่ระเบิดไปนั้นไม่ได้เป็นส่วนที่นายชิดจะไปเรียกร้องอะไรได้เพราะนายชิดไม่ได้เป็นเจ้าของสินค้านั้น
การจะเรียกร้องราคาแบตเตอรี่จึงเป็นเรื่องของนายชัยเจ้าของแบตเตอรี่นั้นจะไปเรียกร้องเอาเองต่างหากจากคนที่นายชัยไปซื้อแบตเตอรี่นั้นมา
ดังนั้น
การจะฟ้องร้องตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยแม้จะเรียกร้องค่าเสียหายได้หลายชนิด
แต่จะไม่รวมถึงการชดใช้เกี่ยวกับ “ความเสียหายต่อตัวสินค้าที่ไม่ปลอดภัย” นั้นเอง
ความเสียหายต่อตัวสินค้าที่ไม่ปลอดภัย
· ความรับผิดของผู้ประกอบการตามกฎหมายนี้ไม่รวมถึงความเสียหายต่อตัวสินค้าที่ไม่ปลอดภัยนั้น
|
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น