ใครบ้างที่เป็น “ผู้ประกอบการ”
เมื่อเรารู้แล้วว่าสินค้าลักษณะใดบ้างที่จะถือว่าเป็น
“สินค้าที่ไม่ปลอดภัย” สิ่งที่ต้องคิดถึงต่อไปคือ เราจะมองหาคนรับผิดชอบจากที่ใด
ผู้ที่อยู่ในข่ายต้องแสดงความรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นอาจกล่าวได้ว่าต้องเป็นบุคคลที่เข้าไปเกี่ยวข้องหรือรับผิดชอบในการทำให้สินค้าที่ไม่ปลอดภัยเกิดมีขึ้นมาบนโลกและมีส่วนที่ทำให้สินค้าเหล่านี้ถูกนำไปให้ถึงมือผู้ใช้สินค้าจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายขึ้นมา
กฎหมายเรียกผู้ที่อยู่ในข่ายต้องรับผิดชอบนี้รวมๆ กันว่า “ผู้ประกอบการ”
แต่ผู้ที่จะเป็นผู้ประกอบการที่ว่านี้ได้อาจจะมีได้หลายคนขึ้นอยู่กับว่าสินค้านั้นมีการผลิตและจำหน่ายในลักษณะใด
บริษัทนมสดไทย
จำกัด ซึ่งผลิต “นมเปรี้ยวมหัศจรรย์” ที่ช่วยชะลอการสร้างตัวของเนื้องอกในร่างกายได้จัดจำหน่ายนมเปรี้ยวมหัศจรรย์ด้วยการขายส่งให้แก่บริษัทโฮลด์เซลไทยแลนด์
จำกัดเพื่อให้ช่วยกระจายสินค้าต่อไป บริษัทโฮลด์เซลไทยแลนด์
จำกัดได้ขายนมเปรี้ยวมหัศจรรย์ให้แก่ร้านสะดวกซื้อและร้านขายของชำทั่วประเทศ
รวมทั้ง “ร้านมัมแอนด์มี” ของนายชิดชอบที่ป้าเย็นไปซื้อนมเปรี้ยวมหัศจรรย์มาลองดื่มดูจนเกิดเป็นลมหมดสติไป
หากเรามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
บุคคลแรกที่เราคิดถึงในแง่ของความรับผิดชอบที่ทำให้สินค้าชนิดนี้เกิดขึ้นมาบนโลกย่อมได้แก่
“ผู้ผลิต” สินค้าดังกล่าวนั่นเอง
เพราะผู้ผลิตสินค้าเป็นผู้ที่มีข้อมูลรายละเอียดที่มากที่สุดว่าสินค้าที่ตนผลิตและนำออกสู่ท้องตลาดนี้มีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง
ใช้ทำประโยชน์อะไรได้บ้างและจะก่อให้เกิดอันตรายอย่างใดได้บ้าง นอกจากนั้น
ผู้ผลิตสินค้าย่อมจะเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์จากสินค้าชนิดนั้นมากที่สุดจากรายได้และผลกำไรจากสินค้าที่ผลิตและขายได้ทั้งหมด
บริษัทนมสดไทย จำกัด เป็นผู้คิดค้นและผลิตนมเปรี้ยมมหัศจรรย์ออกจำหน่าย
บริษัทนมสดไทย จำกัด จึงอยู่ในข่ายที่ถือว่าเป็น “ผู้ประกอบการ” ที่จะต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นในฐานะของ “ผู้ผลิต”
ในบางกรณี
ผู้ที่คิดค้นหรือพัฒนาสินค้าขึ้นมาอาจจะไม่ได้ทำการผลิตสินค้าชนิดนั้นด้วยตนเองซึ่งอาจจะเป็นไปได้หลายสาเหตุแล้วแต่ความจำเป็นและผลประโยชน์ในทางธุรกิจของผู้นั้น
ผู้ที่คิดค้นหรือพัฒนาสินค้านั้นอาจจะว่าจ้างบุคคลอื่นให้ทำการผลิตสินค้าชนิดนั้นแทนตนเองก็ได้
เมื่อมีการผลิตแล้ว
ผู้ที่คิดค้นหรือพัฒนาสินค้านั้นก็จะนำสินค้าที่ผลิตขึ้นตามคำสั่งของตัวเองไปจัดจำหน่ายต่อไป
ในกรณีนี้ผู้ที่คิดค้นหรือพัฒนาสินค้านั้นขึ้นจะมีสถานะเป็น “ผู้ว่าจ้างให้ผลิต” ที่ถือว่าเป็น “ผู้ประกอบการ” ประเภทหนึ่งที่ต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยด้วย
ผู้ว่าจ้างให้ผลิตในที่นี้จะเป็นใครก็ได้ที่ว่าจ้างผู้อื่นให้ผลิตสินค้าที่ไม่ปลอดภัยแทนตนซึ่งอาจจะรวมถึงกรณีเช่นการซื้อสูตรหรือเทคโนโลยีจากคนอื่นแล้วไปว่าจ้างอีกคนหนึ่งให้ผลิตสินค้าแทนตน
ไม่จำเป็นว่าผู้ว่าจ้างให้ผลิตนี้จะต้องประดิษฐ์คิดค้นหรือพัฒนาสินค้าด้วยตนเองเสมอไป
ในบางกรณีสินค้าอาจจะถูกผลิตในประเทศอื่นและมีการนำสินค้าเข้ามาขายในประเทศไทยก็ได้
เช่น ในกรณีของนมเปรี้ยวมหัศจรรย์ที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้ หากบริษัทนมสดไทย
จำกัดไม่ได้คิดและผลิตนมเปรี้ยวมหัศจรรย์ขึ้นเอง
แต่มีบริษัทอื่นในประเทศเกาหลีเป็นผู้คิดค้นและผลิตขึ้นมา บริษัทนมสดไทย จำกัด เมื่อได้ยินสรรพคุณของนมเปรี้ยวมหัศจรรย์จึงได้ติดต่อนำนมเปรี้ยวมหัศจรรย์ที่ว่าเข้ามาวางขายในประเทศไทย
สถานะของบริษัทนมสดไทย จำกัดในกรณีนี้จึงเปลี่ยนไปเป็น “ผู้นำเข้า” และถือเป็นผู้ประกอบการอีกประเภทหนึ่งที่ต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย
การที่บอกว่าตามปกติ
“ผู้ขาย” เหล่านี้ไม่ถือเป็น “ผู้ประกอบการ”
มีความหมายเพียงว่าภาระหน้าที่อันเข้มงวดตามกฎหมายเฉพาะเรื่องความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยนี้ไม่ได้บังคับกับตัวผู้ขายสินค้าด้วยเท่านั้น
แต่...ผู้ขายสินค้าอาจจะไม่ได้หลุดพ้นภาระหน้าที่ตามกฎหมายเรื่องความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยนี้ไปเสียทุกกรณี
มีบางกรณีเหมือนกันที่ผู้ขายสินค้าอาจจะต้องรับผิดชอบตามกฎหมายฉบับนี้
ผู้ขายสินค้าอาจจะต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยได้หากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยนั้นไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ผลิต
ผู้ว่าจ้างให้ผลิตหรือผู้นำเข้า ดังนั้น หากรู้ตัวผู้ผลิต
ผู้ว่าจ้างให้ผลิตหรือผู้นำเข้า คนใดคนหนึ่ง
ผู้ขายสินค้าก็ไม่ต้องรับผิดชอบตามกฎหมายฉบับนี้ แต่เมื่อใดที่ไม่รู้ตัวบุคคลเหล่านี้ว่าสินค้าผลิตโดยใครหรือใครจ้างให้ผลิตหรือใครนำเข้าสินค้ามาขายในประเทศ
ผู้เสียหายย่อมไม่รู้จะหันไปเรียกร้องให้ใครเป็นผู้รับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
คงเหลือแต่เพียง “ผู้ขายสินค้า” เท่านั้น
กฎหมายจึงกำหนดให้ในกรณีที่ไม่รู้ตัวว่าผู้ผลิต ผู้ว่าจ้างให้ผลิต หรือผู้นำเข้าคือใคร
“ผู้ขายสินค้า” จะกลายเป็น “ผู้ประกอบการ”
ที่จะต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นด้วย
ในกรณีนี้ทางปฏิบัติอาจจะเกิดขึ้นได้ค่อนข้างยากเพราะในกระบวนการผลิตและนำสินค้าออกสู่ท้องตลาดในกรณีส่วนใหญ่จะสามารถสืบสาวหาคนที่ผลิตหรือนำเข้าได้ไม่ยากนัก
สินค้าที่วางขายส่วนใหญ่ก็จะมีฉลากที่ติดกับตัวสินค้าที่บอกแหล่งที่มาไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าสินค้าอยู่แล้ว
ในกรณีของนมเปรี้ยวมหัศจรรย์นี้
หากบริษัทที่รับสินค้าไปจัดจำหน่ายต่อจากบริษัทนมสดไทย จำกัด เกิดไปตั้งชื่อบริษัทของตัวเองว่า
“บริษัทนมเปรี้ยวมหัศจรรย์ (ประเทศไทย) จำกัด”
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม แม้ตามปกติบริษัทที่รับสินค้าไปจำหน่ายที่ไม่ได้เป็นผู้ผลิตหรือนำเข้าเองและเป็นกรณีที่รู้ตัวผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าจะไม่ต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น
แต่การใช้ชื่อบริษัทในลักษณะดังกล่าวเป็นกรณีที่ทำให้เกิดความเข้าใจได้ว่าบริษัทดังกล่าวเป็นผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าสินค้านั้นเอง
ทำให้เกิดความรับผิดชอบขึ้นมาทันทีที่จะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนต่อความเสียหายที่เกิดจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยนั้น
เราเรียกว่าเป็น “ผู้ใช้ชื่อหรือแสดงด้วยวิธีใดที่ทำให้เข้าใจว่าเป็นผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า”
เพราะหากบุคคลเหล่านี้ไม่มีส่วนได้เสียหรือเกี่ยวข้องกับสินค้าที่ไม่ปลอดภัยก็คงจะไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะไปใช้ชื่อหรือแสดงออกในลักษณะที่ทำให้เข้าใจไปในลักษณะดังกล่าวได้
เมื่อรวมกรณีต่างๆ
เหล่านี้ไม่ว่าจะเป็น
2.
ผู้นำเข้า
3.
ผู้ขายสินค้า
(ที่ไม่สามารถระบุตัวผู้ผลิต ผู้ว่าจ้างให้ผลิตหรือผู้นำเข้าได้)
4.
ผู้ใช้ชื่อหรือแสดงด้วยวิธีใดที่ทำให้เข้าใจว่าเป็นผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า
เราเรียกบุคคลเหล่านี้ว่าเป็น “ผู้ประกอบการ” ที่อาจจะต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยที่แต่ละคนมีส่วนเกี่ยวข้องในการทำให้สินค้าออกสู่ท้องตลาดจนเกิดความเสียหายขึ้นมา
ผู้ประกอบการที่จะต้องรับผิดตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย
ประกอบด้วย
1.
ผู้ผลิตหรือผู้ว่าจ้างให้ผลิต
2.
ผู้นำเข้า
3.
ผู้ขายสินค้า
(ที่ไม่สามารถระบุตัวผู้ผลิต ผู้ว่าจ้างให้ผลิตหรือผู้นำเข้าได้)
4.
ผู้ใช้ชื่อหรือแสดงด้วยวิธีใดที่ทำให้เข้าใจว่าเป็นผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า
|
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น