เสือ(ผูกขาด)นอนกิน ไม่คิดทำอะไร
ในฐานะของ “ผู้บริโภค”
เราทุกคนคงต้องการได้สินค้ามาใช้ในชีวิตประจำวันที่มีคุณภาพดี
โดยคุณภาพควรจะดีขึ้นเรื่อยๆ ด้วย
เพราะเทคโนโลยีและกระบวนการผลิตมีการพัฒนาอยู่แทบทุกวัน
เราคงไม่ต้องการจ่ายเงินมากขึ้นหรือแม้แต่เท่าเดิมกับของหรือสินค้าอะไรสักอย่างที่เมื่อห้าปีสิบปีที่แล้วเป็นอย่างไร
ทุกวันนี้ยังเป็นแบบเดิมไม่ผิดเพี้ยน ในอีกส่วนหนึ่ง
หากเป็นไปได้ราคาสินค้าที่เราจะต้องเสียเพื่อซื้อหาสินค้าสักชิ้นก็ควรจะถูกลงบ้างหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงของสินค้าที่มีลักษณะสำคัญ
ความ “คาดหวัง” ที่เรามีนี้จะเป็นจริงได้มากน้อยเพียงใด หรือจะเกิดขึ้น “รวดเร็ว”
เพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับว่าผู้ประกอบธุรกิจที่ขายสินค้าหรือให้บริการชนิดที่เราต้องการนั้นมีมากน้อยเพียงใดและ
“แข่งขัน”
กันในการช่วงชิงลูกค้ากันมากน้อยหรือไม่ แต่ก่อนที่เราจะไปดูกันในส่วนอื่น
ลองคิดดูก่อนว่าหากในธุรกิจขายสินค้าหรือให้บริการชนิดหนึ่งมีผู้ประกอบธุรกิจที่ขายสินค้าหรือให้บริการชนิดหนึ่งอยู่เพียงรายเดียวในตลาดผลจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
สมมติว่าบริษัท เสือนอนกิน
จำกัดทำธุรกิจให้บริการเดินรถประจำทางในเส้นทางจากเขต ก. ไปยังเขต ข.
แต่เพียงผู้เดียว ทุกๆ เที่ยวที่ผู้โดยสารขึ้นรถประจำทางของบริษัท เสือนอนกิน
จำกัด จะต้องเสียค่าโดยสารคนละ 100 บาท ในการขับรถรับส่งแต่ละเที่ยว
พนักงานขับรถจะค่อยๆ “บรรจง” ขับอย่างเชื่องช้า
แต่ไม่ใช่เพราะต้องการจะใช้ความระมัดระวังกลัวเกิดอุบัติเหตุที่ทำให้ผู้โดยสารหัวร้างข้างแตก
สวัสดิภาพของผู้โดยสารไม่เคยอยู่ในความคิดของพนักงานขับรถเหล่านี้เลย
เหตุผลสำคัญของการ “บรรจง”
ขับคือต้องการรอผู้โดยสารที่จะมาขึ้นรถในแต่ละเที่ยวให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
หากขับเร็วไปเดี๋ยวผู้โดยสารบางส่วนที่ออกมาจากบ้านไม่ทันขึ้นรถ
ส่วนว่ากว่าจะใช้เวลาในการเดินทางแต่ละเที่ยวกี่ชั่วโมงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เจ้าของบริษัทเสือนอนกิน
จำกัดไม่เคยใช้นาฬิกาจับเวลา เพราะไม่เคยใช้บริการรถของตัวเอง
หากจะเดินทางระหว่างสองอำเภอนั้นก็ใช้รถยุโรปคันงามให้คนขับรถพาไปเอง
รวมทั้งไม่สนใจด้วยว่ารถที่แล่นช้านั้นจะกีดขวางการจราจรแค่ไหน
รถที่ตามมาจะติดกันเป็นขบวนหรือไม่
รถโดยสารที่บริษัทจัดหามาให้บริการมีอยู่ด้วยกัน
4 คัน แต่ละคันมีอายุไม่ต่ำกว่า 10 ปี สภาพรถไม่ต้องพูดถึง หากจะเรียกว่า “รถร้อน” อาจจะยังไม่พอ เรียกว่า “รถเตาอบ” อาจจะดูใกล้เคียงกว่าเพราะถ้าเป็น “หน้าร้อน”
แล้วเมื่อผู้โดยสารลงจากรถจะมีสภาพไม่ต่างจากออกจากเตาอบที่เหงื่อไหลไคลย้อยไปท่วมตัว
เก้าอี้มีแต่ประเภทเบาะขาดๆ และไม่มั่นคงแข็งแรง
แต่ก็ไม่เป็นอะไรอีกเพราะเจ้าของบริษัทไม่ได้นั่งรถเหล่านี้อยู่แล้ว
ในที่นี้เราคงไม่พูดถึงในแง่ของ “ศีลธรรม”
หรือความสำนึกรับผิดชอบของผู้ประกอบธุรกิจเพราะคงจะต้องพูดกันยาว
แต่จะกล่าวถึงในแง่ของเหตุผลทางธุรกิจที่จะส่งผลต่อ “พฤติกรรม” ที่เกิดขึ้นในตลาดของผู้ประกอบธุรกิจแต่ละราย
ในความคิดของเจ้าของบริษัทเสือนอนกิน
จำกัดที่เรานำมาพิจารณานี้ การประกอบธุรกิจเป็นไปด้วยดีอยู่แล้ว
แม้อาจจะไม่ร่ำรวยจนถึงขนาดล้นฟ้า แต่ละเที่ยวหากมีผู้โดยสารขึ้นรถเฉลี่ยเที่ยวละ
40 คนจะได้เงินค่าโดยสารรวม 4,000 บาท
แต่ต้นทุนต่อเที่ยวของรถที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงนี้รวมค่าใช้จ่ายทุกอย่างแล้วตกเที่ยวละ
2,000 บาท แต่ละวันวิ่งรวมแล้วประมาณ 10 เที่ยว
กำไรที่เข้ากระเป๋าอย่างสบายตกวันละ 20,000 บาท
เดือนหนึ่งได้กำไรประมาณ 600,000 บาท ปีหนึ่งได้กำไรประมาณ
7.2 ล้านบาท
หลายๆ
คนหากได้มีกิจการมีรายได้แบบนี้คงคิดเหมือนๆ กันว่าไม่ต้องดิ้นรนทำอะไรมากนัก
อยู่สบายไปวัน ๆ คอยนั่งนับเงินที่ไหลมาเทมาก็สบายดี คงจะหายากที่จะมีคนที่อยู่ดีๆ
มีรายได้สบายๆ แบบนี้มานั่งคิดว่าควรจะซื้อรถโดยสารใหม่เอี่ยมอีกสัก 3 – 4 คันเป็นรถโดยสารปรับอากาศเพื่อให้คนโดยสารไม่ต้องเหมือนอยู่ในเตาอบ
นั่งสบายๆ ไปถึงที่หมายจะได้อารมณ์ดี ทำธุระได้โดยไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง
แล้วจะได้มีรถวิ่งให้บริการมากขึ้น ระยะเวลารอคอยไม่ต้องนานมาก
รถแต่ละคันก็ไม่ต้องวิ่งแบบ “บรรจง”
อย่างเชื่องช้านัก
เหตุผลทางธุรกิจคงคิดได้ไม่ยาก
การซื้อรถโดยสารคันใหม่แต่ละคันไม่ได้ใช้เงินบาทสองบาท แต่อาจจะถึง 8 ล้าน 10 ล้าน
หากคิดแบบนักบัญชีก็จะต้องเฉลี่ยต้นทุนค่ารถออกไปตามระยะเวลาที่คาดว่าจะเป็นอายุการใช้งานของรถ
ซึ่งเราคงไม่ได้คิดกันแบบเหมือนจริงร้อยเปอร์เซ็นต์เพราะไม่มีความจำเป็นขนาดนั้น
แต่สมมติว่ารถมีอายุการใช้งาน 8 ปี ราคารถ 8 ล้านบาท
หากใช้วิธีการเฉลี่ยค่าใช้จ่ายที่ว่าจะเท่ากับแต่ละปีรถแต่ละคันมี “ค่าเสื่อมราคา” ที่จะใช้คิดหักจากกำไรแต่ละปีตกปีละ
1 ล้านบาท
คนส่วนใหญ่ที่คิดคำนวณทางธุรกิจคงได้คำตอบที่คล้ายคลึงกันคือแล้วจะซื้อรถคันใหม่มาให้บริการทำไม
หากซื้อมาแล้วกำไรที่ควรจะได้จาก 7.2 ล้านบาทต่อปี อยู่ดีๆ กลายเป็น 6.2 ล้านบาท
(โดยเราคิดแบบเรียบง่าย ไม่คำนวณว่าซื้อรถใหม่แล้วจะขึ้นราคาค่าโดยสาร
เพราะค่าโดยสารที่สูงขึ้นอาจทำให้ผู้โดยสารส่วนหนึ่งตัดสินใจไม่ขึ้นรถใหม่นี้ก็ได้)
สู้ใช้รถคันเก่าให้บริการไปแล้วเก็บเงินเข้ากระเป๋าปีละ 7.2 ล้านไม่ดีกว่าหรือ
เหตุการณ์ที่สมมติขึ้นเปรียบเทียบนี้แม้จะมีข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับบริการชนิดหนึ่ง
แต่สาระสำคัญอาจเกิดขึ้นได้กับธุรกิจหรือบริการใดก็ตามที่ผูกขาดโดยผู้ประกอบธุรกิจรายใดรายหนึ่ง
ผู้ประกอบธุรกิจเหล่านั้นย่อมไม่มี “แรงจูง” หรือ “ความจำเป็น” ใดๆ
ที่จะพัฒนา “คุณภาพ”
ของสินค้าหรือบริการที่ตนเสนอให้แก่ “ผู้บริโภค” เนื่องจากการพัฒนาปรับปรุงคุณภาพย่อมต้องมีการลงทุนเพื่อทำให้สามารถผลิตสินค้าหรือให้บริการที่ดีขึ้น
การลงทุนดังกล่าวอาจจะทำให้ “กำไร”
ที่จะได้รับไม่มากดังที่เคยได้รับเพราะการที่คุณภาพสินค้าหรือบริการดีขึ้นอาจไม่ได้ทำให้มีคนมาซื้อสินค้าหรือใช้บริการเพิ่มขึ้น
ดังเช่นกิจการรถโดยสารของบริษัทเสือนอนกิน จำกัดที่แม้จะใช้รถใหม่ให้บริการ
ผู้โดยสารระหว่างสองเขตนี้ในแต่ละวันอาจจะมีจำนวนเท่าเดิม
การปรับปรุงหรือพัฒนาคุณภาพในกรณีของการผูกขาดนี้อาจจะเกิดขึ้นต่อเมื่อเครื่องมือหรือเครื่องจักรที่ใช้ผลิตสินค้าหรือให้บริการอยู่เดิมหมดอายุการใช้งาน
หรือทนต่อการดูแลบำรุงรักษาไม่ไหว และต้องเปลี่ยนไปโดยสภาพ
จึงอาจจะทำให้คุณภาพสินค้าหรือบริการดีขึ้นบ้าง เช่นในกรณีของบริษัท เสือนอนกิน
จำกัดนี้เมื่อรถโดยสารที่มีอยู่หมดอายุการใช้งานวิ่งต่อไปไม่ได้หรือซ่อมไม่ไหวแล้วก็ย่อมต้องเปลี่ยนรถใหม่มาให้บริการ
การให้บริการที่ดีขึ้นนี้ไม่ได้เกิดจากความต้องการจะทำให้ผู้บริโภคพึงพอใจ
แต่เกิดจากความจำเป็นที่บีบบังคับให้ต้องทำมากกว่า
ในส่วนของราคาหรือต้นทุนการผลิตสินค้าหรือให้บริการก็เช่นเดียวกัน
ผู้ประกอบธุรกิจที่ผูกขาดย่อมไม่มีความจำเป็นต้องแสวงหา “วัตถุดิบ” ใหม่ๆ
ที่จะทำให้ต้นทุนลดลงหรือหาวิธีการผลิตสินค้าหรือให้บริการแบบใหม่ๆ
ที่ทำให้สามารถผลิตสินค้าหรือให้บริการได้มากขึ้นโดยมีต้นทุนการผลิตหรือให้บริการลงลง
เพื่อที่จะทำให้ราคาสินค้าหรือบริการที่คิดจากผู้บริโภคลดลงได้ด้วย ผู้ประกอบธุรกิจที่ผูกขาดไม่มีความจำเป็นต้องทำดังกล่าวเพราะถึงอย่างไรหากผู้บริโภคต้องการซื้อสินค้าหรือใช้บริการชนิดนั้น
ผู้บริโภคก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกเหนือจากการมาซื้อสินค้าหรือขอใช้บริการจากผู้ประกอบธุรกิจรายนั้นเท่านั้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น