การพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับ การผลิต ออกแบบ หรือให้บริการ
“สมศรี” ไปใช้บริการเสริมความงามพอกหน้าให้กระชับและให้ผิวขาวขึ้นที่สถานเสริมความงามแห่งหนึ่งตามคำโฆษณาที่สมศรีเห็นทางนิตยสารสำหรับผู้หญิงฉบับหนึ่ง
สมศรีหวังเต็มที่ว่าเงินหลายหมื่นที่แม้จะเสียไปเพื่อบริการนี้น่าจะคุ้มค่าเมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่จะได้ตามสรรพคุณที่เห็นในโฆษณาว่าผิวจะเปล่งปลั่งขาวขึ้นในชั่วข้ามคืน
แต่เมื่อเวลาผ่านไปเพียงวันเดียวใบหน้าที่เคยผุดผ่องก็เริ่มผุพอง สมศรีรีบไปหาเจ้าหน้าที่ของสถานเสริมความงามดังกล่าว
คำตอบที่ได้รับคือสมศรีคงไปทำอะไรกับใบหน้ามาหรือไปโดนอะไรมาภายหลังออกไปจากสถานเสริมความงามแห่งนั้น
สมศรีพยายามพูดและอธิบายว่าไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะเมื่อกลับออกไปจากสถานเสริมความงามก็ไม่ได้ไปที่ไหนอีก
กลับบ้านทำธุระแล้วก็เข้านอนตามปกติ
สมศรีพยายามขอให้สถานเสริมความงามแห่งนั้นช่วยทำอะไรก็ได้ให้ใบหน้าแม้จะไม่ดีขึ้นแต่ขอให้กลับไปเหมือนเดิมก็พอแล้ว
แต่คำตอบที่ได้รับแปลได้ง่ายๆ ว่า “ธุระไม่ใช่”
ในกรณีที่เกิดปัญหาที่สร้างความเสียหายขึ้นเหมือนกับกรณีของสมศรีข้างต้นนี้
การเรียกร้องให้มีการชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น ผู้ที่เรียกร้องอย่างเช่นสมศรีต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นเพราะการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อของจำเลย
และจำเลยคือบุคคลที่ต้องรับผิดชอบชดใช้บรรดาค่าเสียหายต่างๆ ที่เกิดขึ้น
อุปสรรคที่จะเกิดขึ้น
คือ ผู้บริโภคอย่างเช่นสมศรีไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสถานเสริมความงามใช้กรรมวิธีอะไรบ้างและสารเคมีที่นำมาใช้ประกอบไปด้วยสารอะไรบ้าง
สารเคมีแต่ละอย่างมีคุณสมบัติทางเคมีอย่างไรและจะทำให้เกิดผลกระทบอะไรได้บ้าง
สมศรีอาจจะพอรู้เพียงเลาๆ ว่าตนเองถูกพาเข้าไปในห้อง ๆ หนึ่ง
จากนั้นมีเจ้าหน้าที่คาดหน้ากากสีขาวนำเจลอะไรบางอย่างมาพอกไว้ที่หน้าในขณะที่สมศรีหลับตาอยู่เพื่อกันไม่ให้สารเคมีเข้าตาและทำให้เจ้าหน้าที่ทำงานได้สะดวกขึ้น
แล้วมีอุปกรณ์อย่างหนึ่งพ่นไอบางอย่างออกมาด้วย พอเวลาผ่านไป เจ้าหน้าที่คนนั้นบอกให้ลุกไปทำความสะอาดแล้วเดินออกไปจ่ายเงิน
ข้อเท็จจริงเท่าที่ผู้บริโภครู้เหล่านี้คงไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าจำเลยเป็นผู้ต้องรับผิดชอบกับความเสียหายที่เกิดขึ้น
การจะพิสูจน์ต้องใช้ความรู้ความเข้าใจในกระบวนการหรือกรรมวิธีที่ถูกใช้ซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างมาก
แม้ผู้บริโภคอย่างเช่นสมศรีอาจจะหาทางพิสูจน์ได้หากคิดจะทำจริง ๆ
ด้วยการหาความรู้ที่จำเป็นด้วยตนเอง
จ้างคนมาช่วยศึกษาและจ้างผู้เชี่ยวชาญมาให้ข้อมูล
แต่การดำเนินการเหล่านี้ทำให้เกิดภาระและค่าใช้จ่ายตามมาจำนวนมาก ในขณะที่ “ค่าเสียหาย" โดยเฉลี่ยของผู้บริโภคแต่ละคนอาจจะไม่ได้สูงมากมายนัก
เมื่อเทียบกับภาระและค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการแล้วอาจจะทำให้ไม่คุ้มค่าสำหรับผู้บริโภคที่จะลงทุนลงแรงเพื่อการนี้
หากบังคับให้ผู้บริโภคต้องไปเสาะแสวงหาหลักฐานต่าง ๆ
เหล่านี้มาสนับสนุนข้ออ้างต่างๆ ด้วยตนเอง สุดท้ายอาจจะมีผู้บริโภคเพียงไม่กี่รายเท่านั้นที่มีความสามารถและกำลังเพียงพอที่จะรักษาสิทธิของตนเองได้
การดำเนินการต่างๆ
เหล่านี้ทำให้เกิด “ต้นทุน” ทางสังคมจำนวนมาก
ต้นทุนทางสังคมประการแรกซึ่งเราได้กล่าวถึงไปแล้ว
คือ ภาระค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคในการแสวงหาข้อมูลเพื่อใช้ในการพิสูจน์ ทั้ง
ๆ ที่ภาระค่าใช้จ่ายส่วนนี้สามารถทำให้น้อยลงหรือตัดออกไปได้ในบางกรณี
ต้นทุนทางสังคมประการที่สอง
คือ ความสูญเสียของผู้บริโภคที่ไม่ได้รับการเยียวยา
ทำให้ประชาชนผู้บริโภคที่ไม่มีความสามารถและกำลังเพียงพอที่จะดำเนินการต่าง ๆ ได้
ต้องแบกรับภาระต่าง ๆ ไว้ด้วยตนเอง ทั้ง ๆ ที่ผู้บริโภคหลายรายอาจจะไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะแบกรับภาระต่างๆ
เหล่านี้ไว้ได้มากนัก ภาระที่แบกรับไว้เองนี้ก็ไม่สามารถ “กระจาย”
ต่อไปให้ใครได้อีกนอกเหนือจากคนในครอบครัวด้วยกันเอง
ในกรณีที่ผู้บริโภคที่ได้รับความเสียหายเหล่านี้ไม่ได้รับการเยียว
สุดท้ายภาระที่เกิดขึ้นอาจจะตกอยู่กับ “รัฐ” ซึ่งต้องนำเงินภาษีอากรจากประชาชนทุกคนมาช่วยในการแบกรับภาระนี้ด้วย
ต้นทุนทางสังคมประการที่สาม
คือ บุคคลที่ควรต้องรับผิดแต่ไม่ต้องรับผิดจะปฏิบัติตนตามเดิมอันจะทำให้เกิดอันตรายหรือความเสียหายขึ้นได้อีกในอนาคต
เมื่อบุคคลดังกล่าวรู้ว่าแม้การกระทำของตนจะทำให้เกิดความเสียหาย
แต่ตนเองไม่ต้องรับผิดชอบต่อผลที่เกิดขึ้นหรือกระบวนการไม่สามารถทำให้ตนเองต้องรับผิดได้
เพราะผู้ที่ได้รับความเสียหายไม่มีกำลังความสามารถพอที่จะดำเนินการที่จำเป็นได้
บุคคลเหล่านี้ย่อมเห็นว่าไม่มีความจำเป็นที่ตนต้องเปลี่ยนพฤติกรรมหรือการกระทำของตน
เพราะการเปลี่ยนแปลงย่อมต้องทำให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายซึ่งหากคิดแล้วมีจำนวนมากกว่าค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีที่สุดท้ายตนไม่ต้องรับผิด
บุคคลเหล่านี้ก็ย่อมไม่มีแรงจูงใจที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตน
ทำให้ในอนาคตอาจจะเกิดเหตุความเสียหายที่คล้ายคลึงกันได้อีกโดยไม่จำเป็น
ต้นทุนทางสังคมประการที่สี่
คือ การใช้ทรัพยากรในกระบวนการยุติธรรมอย่างไม่มีประสิทธิภาพและทำให้ขาดความศรัทธาในกระบวนการยุติธรรม
เนื่องจากในการดำเนินการโดยบุคคลที่ขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องเฉพาะด้าน เช่น
การที่ผู้บริโภคต้องไปแสวงหาความรู้ในเรื่องที่ตนไม่ชำนาญย่อมทำให้เกิดกระบวนพิจารณาที่ใช้เวลานานและบางประการอาจจะไม่จำเป็นต้องทำก็ได้
หากหลีกเลี่ยงกระบวนพิจารณาที่สามารถลดลงเหล่านี้ได้จะทำให้ใช้ทรัพยากรในกระบวนการยุติธรรมที่มีอยู่อย่างจำกัดไปเพื่อประโยชน์อย่างอื่นอันมีความจำเป็นที่ไม่สามารถลดทอนลงได้
นอกจากนั้น
การดำเนินการตามเดิมที่บังคับให้ผู้บริโภคที่ได้รับความเสียหายต้องพิสูจน์ในสิ่งที่ตนเองยากจะพิสูจน์ได้ซึ่งอาจจะมีผลทำให้สิทธิของผู้บริโภคเหล่านี้ไม่ได้รับการบังคับให้ย่อมจะให้บุคคลที่รู้สึกว่าตนไม่ได้รับการเยียวยาจากกระบวนการรู้สึกว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรมและรู้สึกว่ากระบวนการยุติธรรมเอื้อแต่เฉพาะผู้ที่มีกำลังความสามารถที่จะ
“ลงทุน” ในแต่ละคดีได้มากกว่า
ต้นทุนต่าง
ๆ
เหล่านี้เป็นเรื่องที่สามารถหลีกเลี่ยงหรือลดทอนลงได้ด้วยการให้ผู้ประกอบธุรกิจซึ่งเป็นเจ้าของกระบวนการ
“ผลิต” “ประกอบ” “ออกแบบ” “ส่วนผสมของสินค้า” หรือ “บริการ”
ที่มีความรู้ความเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ดีอยู่แล้ว และมีข้อมูลที่จำเป็นอยู่อย่างพร้อมเพรียงอยู่ในมือเป็นผู้นำข้อมูลที่จำเป็นเหล่านี้มาแสดงให้เห็นในกระบวนการพิสูจน์ความจริง
เพราะเมื่อข้อมูลเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว
ภาระหรือค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการรวบรวมพยานหลักฐานถึงจะมีก็น้อยมาก
และจะยิ่งน้อยไปอีกเมื่อเทียบกับภาระและค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการให้ผู้บริโภคไปค้นหาข้อมูลเหล่านี้เองซึ่งแทบจะเรียกได้ว่าเป็นการเริ่มต้นจากจุดศูนย์ที่ไม่มีอะไรอยู่ในมือเลย
กฎหมายวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคจึงได้กำหนดให้ในกรณีที่จำเป็นต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับการผลิต
การประกอบ การออกแบบ หรือส่วนผสมของสินค้า การให้บริการหรือการดำเนินการใด ๆ
ซึ่งอยู่ในความรู้เห็นโดยเฉพาะของคู่ความฝ่ายที่เป็นผู้ประกอบธุรกิจ
ให้ภาระการพิสูจน์ที่มีหน้าที่ต้องนำพยานหลักฐานมาแสดงให้เห็นตกอยู่แก่คู่ความฝ่ายที่เป็นผู้ประกอบธุรกิจ
หลักการดังกล่าวนี้ความจริงแล้วไม่ใช่เรื่องใหม่
แต่มีการใช้กันมาเป็นเวลานานแล้ว ในภาษาละตินเรียกว่าเป็นหลัก Res ipsa
loquitur
เพียงแต่ในกฎหมายของไทยเราไม่ได้มีการแจกแจงให้เห็นกันอย่างชัดเจนเท่านั้น
ในกฎหมายที่เรามีอยู่ความจริงก็มีหลายเรื่องที่คล้ายคลึงกับหลักการดังกล่าวอยู่
ในกรณีของสมศรีที่เรากล่าวถึงตอนต้น
เมื่อกรรมวิธีการเสริมความงามตลอดจนสารเคมีที่ใช้เป็นเรื่องที่อยู่ในความรู้เห็นของผู้ประกอบธุรกิจให้บริการเสริมความงามโดยเฉพาะ
ผู้ประกอบธุรกิจจึงมีหน้าที่ต้องนำข้อมูลมาแสดงให้เห็นว่าตนได้ดำเนินการอย่างไรบ้าง
และกรรมวิธีหรือสารเคมีเหล่านั้นจะส่งผลอย่างไรได้บ้าง ทำให้ในการพิสูจน์ข้อเท็จจริงเหล่านี้เราจะมีโอกาสได้
“ความจริง” มากขึ้น
ผู้ประกอบธุรกิจมีภาระการพิสูจน์ในกรณีที่
· ในประเด็นข้อพิพาทใดจำเป็นต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับ
o
การผลิต
o
การประกอบ
o
การออกแบบ
o
ส่วนผสมของสินค้า
o
การให้บริการ
o
การดำเนินการใดๆ
· หากข้อเท็จจริงนั้นอยู่ในความรู้เห็นโดยเฉพาะของผู้ประกอบธุรกิจ
|
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น