ข้อสัญญาที่จำเป็นและที่ห้ามใช้ใน สัญญาใช้บัตรเครดิต
ในปัจจุบันบัตรเครดิตได้กลายเป็นสิ่งที่พกพาติดกระเป๋าของผู้คนจำนวนมาก
ความแพร่หลายของบัตรเครดิตทำให้หลายคนเรียกว่าเป็น “เงินพลาสติก”
เพราะเราสามารถใช้บัตรเครดิตซื้อหาสิ่งของหรือใช้บริการในชีวิตประจำวันได้ไม่แตกต่างไปจากเงินสด
ไม่ว่าจะเป็นการใช้บัตรเพื่อเติมน้ำมันรถหรือซื้อของกินของใช้ในซุปเปอร์มาร์เก็ตที่เป็นตลาดสดติดแอร์ของหลายๆ
คน
บัตรเครดิตนอกจากจะให้ความสะดวกที่ทำให้เราไม่ต้องพกพาเงินทองติดตัวจำนวนมากที่จะทำให้เป็นเรื่องเสี่ยงต่ออันตรายจากอาชญากรรมแล้วยังช่วยให้เรามี
“เครดิต” ที่สามารถซื้อของและนำมาใช้ก่อนล่วงหน้า
ส่วนเงินค่าสินค้าจริง ๆ
จะจ่ายต่อเมื่อครบกำหนดที่บริษัทผู้ให้บริการบัตรเครดิตเรียกเก็บเงินมา
ระยะเวลาที่ใช้สินค้าหรือบริการได้ “ฟรี”
นี้อาจจะมากบ้างน้อยบ้างตามแต่ว่าเราซื้อสินค้าหรือบริการในวันที่ใกล้ปิดรอบระยะเวลาบัญชีของบัตรในแต่ละเดือนเพียงใด
ความสะดวกเหล่านี้นี่เองที่ทำให้หลาย
ๆ คน นำ “เงินในอนาคต” มาใช้จนเกินตัว
เกินกำลังที่จะชำระได้ครบถ้วนจนทำให้ต้องเลือกใช้วิธีการที่บริษัทที่ให้บริการบัตรเครดิตพยายามจูงใจด้วยการ
“ชำระขั้นต่ำ” ตามที่กำหนด
โดยไม่ได้คำนึงถึงภาระของอัตราดอกเบี้ยที่ “แพง” มหาศาลที่จะเกิดจากการชำระขั้นต่ำนี้ หากยอดหนี้ที่ค้างมีจำนวนมาก
หลายคนที่สู้อุตส่าห์ผ่อนไปทุก ๆ เดือนอาจจะตกใจตอนไปตรวจสอบยอดหนี้เมื่อสิ้นปีว่าเงินที่นำส่งไปในแต่ละเดือนตัดได้เพียงดอกเบี้ย
ส่วนเงินต้นแทบจะไม่ขยับ ทำให้บุคคลเหล่านี้กลายเป็น “ทาส” ในสังคมสมัยใหม่ที่ทำงานหาเงินให้แก่บริษัทที่ให้บริการบัตรเครดิตไปวัน ๆ
เมื่อถึงจุด ๆ หนึ่งที่รู้สึกว่ารับภาระเหล่านี้ไม่ไหวก็จะ “หนีหนี้” หายไป
ในการดำเนินการให้บริการบัตรเครดิตนี้
“สัญญาบัตรเครดิต”
เป็นสัญญาประเภทหนึ่งที่แม้กฎหมายอาจจะไม่ได้บังคับให้ต้องทำเป็น “หนังสือ” แต่แทบทุกบริษัทหรือสถาบันการเงินที่ให้บริการบัตรเครดิตล้วนแต่จะ
“กรุณา”
จัดทำรายละเอียดของสัญญาให้แก่ผู้ใช้บัตรทุกราย
บางครั้งสัญญาเหล่านี้อาจจะจัดพิมพ์ในหีบห่อที่สวยงาม ทำให้เราไม่ได้ตระหนักถึง “ภาระ” ที่แฝงอยู่ในรูปเล่มที่สวยงานเหล่านี้ เมื่อบริษัทหรือสถาบันการเงินที่เป็นผู้ให้บริการบัตรเครดิตเป็นผู้จัดเตรียมและร่างข้อสัญญาเหล่านี้เองก็ย่อมต้องพยายามรักษาผลประโยชน์ของตนเองอย่างเต็มที่
ทางใดหรือวิธีการใดที่จะทำให้ตนเองได้ประโยชน์เพิ่มขึ้นก็จะนำมาใส่ไว้ในสัญญาบัตรเครดิต
ทำให้ในหลายๆ กรณีการกำหนดเหล่านี้ “ล้ำเส้น” ของความพอสมควรไป และผู้ให้บริการบางรายฉวยโอกาสของข้อสัญญานี้ในการหาประโยชน์จากผู้ใช้บัตรเครดิต
คณะกรรมการว่าด้วยสัญญาจึงได้กำหนดให้สัญญาใช้บัตรเครดิตเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญาซึ่งมีผลทำให้ถูกกำหนดให้ใช้ข้อสัญญาที่จำเป็นหลายประการและห้ามใช้ข้อสัญญาบางลักษณะ
วิธีการหนึ่งที่ผู้ให้บริการใช้ในการจูงใจผู้บริโภคให้ซื้อสินค้าหรือบริการโดยผ่อนชำระ
แทนที่จะให้ชำระในคราวเดียวทั้งหมดซึ่งจะทำให้ผู้ให้บริการได้ผลตอบแทนแต่เฉพาะจากค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากร้านค้าที่เป็นสมาชิก
คือ การแสดงอัตราดอกเบี้ยที่ต้องชำระเป็นอัตรารายเดือนซึ่งเมื่อหารจากอัตรารายปีแล้วย่อมจะเป็นอัตราที่ดูเหมือนน้อยมาก
แต่หากคำนวณกลับไปเป็นอัตรารายปีแล้วอาจจะทำให้ผู้บริโภคหลายรายได้ตระหนักถึงภาระที่แท้จริงที่จะเกิดขึ้น
ในเรื่องอัตราดอกเบี้ยนี้คณะกรรมการว่าด้วยสัญญาได้กำหนดไว้ว่า
“ในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจจะเรียกเก็บดอกเบี้ยค้างชำระ (ถ้ามี) ค่าธรรมเนียม และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ รวมอยู่ด้วย
ผู้ประกอบธุรกิจต้องคำนวณดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องรวมกันเป็นอัตราร้อยละต่อปีให้ผู้บริโภคทราบด้วย”
ผู้ให้บริการบัตรเครดิตต่างๆ
ได้พยายามพัฒนารูปแบบการให้บริการให้ง่ายและสะดวกที่สุดสำหรับผู้บริโภค
บางครั้งในการตกลงทำสัญญาเป็นสมาชิกบัตรเครดิตสามารถทำได้ง่ายเพียงยกหูโทรศัพท์แล้วเจ้าหน้าที่ของผู้ให้บริการบัตรเครดิตจะอ่านข้อกำหนดหรือเงื่อนไขของการเป็นสมาชิกให้เรารับทราบแล้วขอให้เรา
“พูด” ทางโทรศัพท์ที่แสดงให้เห็นเจตนาของเราที่จะยอมรับข้อกำหนดหรือเงื่อนไขเหล่านี้ซึ่งผู้ให้บริการบัตรเครดิตก็จะอัดเสียงเราไว้เป็นหลักฐานกรณีที่มีปัญหาขึ้นมา
เป็นอันเสร็จพิธีการเข้าเป็นสมาชิก แต่เมื่อเราต้องการจะยกเลิกการเป็นสมาชิกบัตร
ในอดีตจะเป็นเรื่องยากมากที่จะหาวิธีการยกเลิกบัตร บางครั้งอาจจะต้องเขียนเป็นจดหมายส่งทางไปรษณีย์ซึ่งกว่าจะไปถึงก็ใช้เวลาหลายวันและกว่าที่การยกเลิกนั้นจะมีผลก็ต้องใช้เวลาต่ออีกระยะหนึ่ง
ความสะดวกในการตกลงเป็นสมาชิกจึงไม่อาจเทียบได้กับกรณีที่จะขอยกเลิกบัตร
ในกรณีที่ผู้บริโภคได้สมัครเป็นสมาชิกบัตรเครดิตแล้วต้องการจะบอกเลิกสัญญาใช้บัตรเครดิตในระหว่างปี
แต่ผู้บริโภคได้เสียค่าสมาชิกรายปีให้แก่ผู้ให้บริการแล้ว
บางครั้งผู้ให้บริการไม่ได้กำหนดให้ผู้บริโภคได้รับคืนค่าสมาชิกที่เสียไป ทั้ง ๆ
ที่ในรอบระยะเวลาที่เหลือผู้บริโภคไม่สามารถใช้ประโยชน์จากบัตรเครดิตใบนั้นได้อีกแล้ว
ข้อสัญญาที่จำเป็นข้อหนึ่งที่คณะกรรมการว่าด้วยสัญญากำหนดจึงมีว่า
“ผู้บริโภคมีสิทธิบอกเลิกสัญญาใช้บัตรเครดิตเมื่อใดก็ได้ และมีสิทธิได้รับคืนค่าธรรมเนียมการใช้บริการ
ตามส่วนของระยะเวลาที่ยังไม่ได้ใช้บริการ”
เพื่อให้ความคุ้มครองผู้บริโภคมากขึ้นได้มีการกำหนดให้สิทธิแก่ผู้บริโภคด้วยในการขอระงับการใช้บัตรเป็นการช่วยคราวให้มีความสะดวกมากขึ้นไม่แตกต่างไปจากเมื่อตอนที่ผู้ให้บริการชักชวนให้ตอบรับเป็นสมาชิกบัตรเครดิตโดยในประกาศเกี่ยวกับสัญญาใช้บัตรเครดิตได้กำหนดไว้ว่า
“ผู้บริโภคมีสิทธิขอระงับการใช้บัตรเครดิตชั่วคราวทางโทรศัพท์หรือโดยเครื่องมือสื่อสารอย่างอื่น
หรือโดยวิธีอื่นซึ่งสามารถติดต่อถึงกันได้ทำนองเดียวกัน ณ ศูนย์บัตรเครดิตของผู้ประกอบธุรกิจได้ทุกกรณี
และผู้ประกอบธุรกิจจะระงับการให้บริการบัตรเครดิตของผู้บริโภคทันทีที่ได้รับแจ้งดังกล่าว
ในการนี้ผู้ประกอบธุรกิจจะกำหนดระยะเวลาก่อนระงับการให้บริการก็ได้ แต่ต้องไม่เกิน
๕ นาที นับแต่เวลาที่ผู้ประกอบธุรกิจได้รับแจ้ง”
นอกจากนั้น
ในการทำสัญญาใช้บัตรเครดิตอาจจะมีการกำหนดข้อสัญญาหลายประการที่ทำให้ผู้บริโภคถูกเอาเปรียบเกินสมควร
จึงได้มีการกำหนดข้อสัญญาที่ห้ามใช้ไว้หลายประการ เช่น
· ข้อสัญญาที่กำหนดให้ผู้บริโภคต้องผูกพันตามประกาศหรือหลักเกณฑ์ของผู้ประกอบธุรกิจโดยผู้บริโภคไม่ได้รับแจ้งให้ทราบล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษร
· ข้อสัญญาที่ให้ผู้บริโภคต้องรับผิดชอบในค่าใช้จ่ายจากการใช้บัตรเครดิตโดยที่ไม่ได้เป็นความผิดของผู้บริโภค
ในอนาคตความสำคัญของบัตรเครดิตคงจะไม่ได้ลดน้อยลง มีแต่จะเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะเมื่อมีการนำไปใช้ในการซื้อขายสินค้าทางออนไลน์มากขึ้น ปัญหาและข้อสัญญาใหม่ๆ ที่อาจก่อให้เกิดปัญหาก็อาจจะเพิ่มมากขึ้นด้วย แต่อย่างน้อยที่สุด การกำหนดกฎเกณฑ์ของข้อสัญญาหลายประการที่ควรต้องมีในสัญญาตลอดถึงข้อสัญญาที่ห้ามใช้ก็ทำให้ผู้บริโภคที่ประสงค์จะได้รับความสะดวกของบัตรเครดิตใช้บัตรด้วยความสบายใจมากขึ้น แต่ก็ไม่ควรใช้ด้วยความสบายใจจนกลายเป็นความเพลิดเพลินในการ “รูด” บัตรจน “หนี้” ท่วมตัว ในกรณีของปัญหาแบบนั้นคงจะไม่มีการคุ้มครองด้านสัญญาวิธีการใดที่จะสามารถคุ้มครองได้ มีแต่ตนเองเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งของตนในการหักห้ามใจตนเอง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น