ทำไมต้องมี วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค
ในปัจจุบันมีกฎหมายออกมาจำนวนมาก
หากเป็นในช่วงมีการประชุมรัฐสภาบางช่วงอาจจะมีกฎหมายออกมาเป็นรายวันเลยก็ได้
กฎหมายเหล่านี้จำนวนไม่น้อยได้พยายามให้ “สิทธิ” แก่ประชาชนเพื่อให้ประชาชนมีความเป็นอยู่และมีสวัสดิภาพที่ดี
แต่แม้กฎหมายจะเขียนรับรอง “สิทธิ”
ไว้ดีและแน่นหนาเพียงใดก็ตาม แต่หาก “วิธีการ” หรือ “กระบวนการ”
ในการบังคับหรือปกป้องคุ้มครองสิทธิเหล่านี้ไม่เหมาะสม สุดท้าย “สิทธิ” เหล่านั้นก็จะมีผลเป็นเพียงถ้อยคำสวยหรูในแผ่นกระดาษ
แต่ไม่สามารถนำมาบังคับให้เกิดผลได้ในชีวิตจริง
หลายๆ ครั้งเราอาจจะมองข้ามหรือไม่เห็นความสำคัญของ “วิธีการ” หรือ “กระบวนการ”
ในการบังคับหรือปกป้องสิทธิเหล่านี้ไปและให้ความสำคัญกับตัวเนื้อหาของสิทธิมากกว่า
แน่นอนว่าเนื้อหาสาระของสิทธิแต่ละชนิดแต่ละประเภทเป็นอย่างไร
มีองค์ประกอบหรือหลักเกณฑ์อย่างไรเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่อาจละเลยไปได้
แต่ในชีวิตจริง “วิธีการ” หรือ “กระบวนการ” เหล่านั้นก็มีความสำคัญที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าตัวเนื้อหาของสิทธิและจะเป็นปัจจัยหรือเครื่องมือที่สำคัญที่ทำให้เกิดความเป็นธรรมสำหรับแต่ละรายกรณีหรือแต่ละเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริง
การที่ “วิธีการ” หรือ
“กระบวนการ”
ดังกล่าวจะเป็นเครื่องมือที่ทำให้เกิดความเป็นธรรมได้จะต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงได้โดยง่ายด้วย
เพราะหาก “เครื่องมือ”
ที่มีอยู่จะดีและมีประสิทธิภาพดีเพียงใดก็ตาม
แต่หากผู้ที่มีความต้องการและมีความจำเป็นต้องใช้ “เครื่องมือ” เหล่านั้นไม่สามารถเข้าถึงได้แล้วก็คงจะไม่เกิดประโยชน์แต่อย่างใด
สุดท้ายย่อมเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลาและถูกลืมไปในที่สุด ความสำคัญของการ “เข้าถึง” เครื่องมือซึ่งในที่นี้คือ “กระบวนการยุติธรรม”
ยิ่งมีความสำคัญเป็นพิเศษในกรณีที่เกี่ยวข้องกับ “ผู้บริโภค” เนื่องจากคนกลุ่มนี้เป็นคนกลุ่มใหญ่ที่สุดของประเทศ
แต่กลับเป็นกลุ่มที่มีข้อจำกัดมากที่สุดและมีกำลังน้อยที่สุดที่จะเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อจำกัดที่สำคัญประการหนึ่ง คือ ตามปกติส่วนได้เสียของ “ผู้บริโภค”
แต่ละคนหรือแต่ละรายย่อมมีจำนวนที่ไม่สูงมากนัก
เพราะคงจะหายากที่จะหาผู้บริโภครายใดที่ซื้อหรือใช้สินค้าหรือบริการจำนวนมากเมื่อเทียบกับการซื้อหรือใช้บริการของภาคธุรกิจ
เนื่องจากโดยสภาพผู้บริโภคแต่ละรายย่อมซื้อหาสินค้าหรือใช้บริการเฉพาะเท่าที่มีความจำเป็นในครัวเรือนของตนเท่านั้น
แม้แต่ในบ้านที่เป็นครอบครัวใหญ่ที่อยู่รวมกันหลายรุ่นซึ่งหาได้ยากยิ่งในสังคมปัจจุบัน
ปริมาณสินค้าหรือบริการที่ซื้อหามาใช้ก็ไม่ได้สูงมากนัก หากภาระหรือค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากกระบวนการฟ้องร้องเพื่อบังคับตามสิทธิของตนเองยุ่งยากและเสียค่าใช้จ่ายมาก
อาจจะทำให้ไม่คุ้มกับสิ่งที่ตนจะเรียกร้องและได้มาจากการฟ้องร้องคดีนั้น
สุดท้ายคงจะไม่มีใครใช้หรือบังคับตามสิทธิที่เขียนไว้อย่างงดงามในกฎหมาย เช่น
หากมีความเสียหายเกิดขึ้นจาก “สินค้าที่ไม่ปลอดภัย” จากแบตเตอรี่โทรศัพท์เคลื่อนที่ระเบิดทำให้ได้รับบาดเจ็บที่ขาต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลเสียค่ารักษาพยาบาลไป
10,000 บาท
หากภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการฟ้องร้องดำเนินคดีมากกว่าหรือแม้แต่ใกล้เคียงกับ
10,000 บาทก็คงจะไม่มีใครต้องการฟ้องร้องดำเนินคดีที่สุดท้ายเงินที่เหลือหลังหักกลบทุกอย่างแล้วไม่คุ้มกับภาระที่จะเกิดขึ้น
นอกจากนั้น กระบวนการฟ้องร้องดำเนินคดีโดยเนื้อหาสาระเป็นการ “พิสูจน์” และ “ค้นหา” ความจริงระหว่างคู่ความที่เกี่ยวข้อง
ในบางกรณีการพิสูจน์ข้อเท็จจริงบางลักษณะอาจเป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำได้โดยง่าย
โดยเฉพาะตามหลักการพิสูจน์ปกติที่ “ใคร” หรือคู่ความฝ่ายไหนกล่าวอ้างถึงข้อเท็จจริงใดขึ้นมา
ผู้นั้นหรือคู่ความฝ่ายนั้นมีหน้าที่ที่จะต้องหา “พยานหลักฐาน” มาพิสูจน์ให้เห็นว่าจริงๆ แล้วเกิดเหตุการณ์ตามที่ตนเองกล่าวอ้างขึ้นจริง
เช่น หากเราไปใช้บริการสถานเสริมความงามหรือบุคลิกภาพแล้วปรากฏว่าเกิดมีอันตรายขึ้นมาในระหว่างที่รับบริการนั้น
ตามปกติที่เราอ้างว่าสถานบริการนั้นทำโดย “จงใจหรือประมาทเลินเล่อ” ทำให้เราได้รับอันตรายอันถือเป็นการกระทำละเมิดต่อเรา เราก็ต้องหา “พยานหลักฐาน”
ไปพิสูจน์ให้เห็นว่าสถานบริการนั้นได้ปฏิบัติหรือทำการอะไรบ้างที่ทำให้เราได้รับอันตรายและต้องพิสูจน์ให้เห็นต่อไปว่าการกระทำนั้นเป็นการ
“จงใจหรือประมาทเลินเล่อ”
ทำให้เราเสียหายได้อย่างไร การ “พูด”
เรื่องการพิสูจน์ในกรณีเหล่านี้เป็นเรื่องที่ “พูดง่าย
แต่ทำยาก”
เพราะหลายครั้งเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากระบวนการขั้นตอนต่างๆ มีกรรมวิธี
มีสารเคมีหรือมีเครื่องมืออย่างไรบ้าง
และอันตรายที่เกิดขึ้นนั้นเป็นผลมาจากกรรมวิธี สารเคมี เครื่องมือหรือเกิดจาก “บุคลากร”
ของสถานบริการนั้นเองที่ไม่ได้ทำตามขั้นตอนที่ควรจะต้องทำ
หากไม่รู้ว่าขั้นตอนทั้งหมดที่ต้องทำเป็นอย่างไร เราคงไม่สามารถพิสูจน์หรือบอกได้ว่าพนักงานของสถานบริการเหล่านั้นไม่ได้ทำตามขั้นตอนใดบ้างที่ควรจะต้องทำ
การ “พิสูจน์” หรือ “ค้นหา”
ความจริงบนพื้นฐานของหลักการที่มีมาแต่เดิมก็อาจจะทำให้เราไม่ได้ “ความจริง” ตามที่ต้องการก็ได้ซึ่งจะทำให้ “ผลลัพธ์” ที่ได้ไม่สอดคล้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ
นอกจากนั้น กระบวนการ “พิสูจน์” หรือ “ค้นหา”
ความจริงในลักษณะดังกล่าวยังจะสร้างภาระและค่าใช้จ่ายจำนวนมากแก่ “ผู้บริโภค” ที่เป็นผู้ดำเนินคดีซึ่งโดยสภาพย่อมจะมี “กำลัง”
ทางเศรษฐกิจที่สู้กับบรรดาผู้ประกอบการไม่ได้อยู่แล้ว ดังนั้น หากต้องการจะให้ “วิธีการ” หรือ “กระบวนการ” ในการเรียกร้องหรือบังคับตามสิทธิทำให้เกิด “ผลลัพธ์”
ที่เป็นธรรมอย่างแท้จริงจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับการพิสูจน์หรือค้นหาความจริงในบางลักษณะหรือบางกรณีด้วย
ปัญหาที่สำคัญอีกประการหนึ่งของการดำเนินคดีสำหรับ “ผู้บริโภค” คือการขาดความรู้ความเข้าใจในกระบวนการหรือขั้นตอนที่จะต้องทำ
บางครั้งการแสวงหา “ความรู้” หรือ “ความช่วยเหลือ” ในสิ่งต่างๆ
เหล่านี้อาจจะทำให้เกิดภาระแก่ผู้บริโภคได้ไม่น้อย การที่จะทำให้ “ผู้บริโภค”
เหล่านี้สามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้อย่างแท้จริงและการที่จะทำให้กระบวนการยุติธรรมสามารถ
“อำนวย”
ให้เกิดความยุติธรรมได้อย่างแท้จริงจึงจำเป็นต้องมี “เครื่องมือ” หรือ “บุคลากร”
ที่จะทำหน้าที่ช่วยเหลือในการดำเนินการต่างๆ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น