การเจรจาและ การประนีประนอมยอมความ
ในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับ “ผู้บริโภค”
แม้ว่าการเปิดช่องทางให้สามารถดำเนินการทางคดีความที่สะดวกมากขึ้นกว่าการดำเนินการทางคดีปกติทั่วๆ
ไป แต่หากถาม “ผู้บริโภค”
ส่วนใหญ่คงจะไม่มีใครต้องการ “ค้าความ”
มากนักเพราะแต่ละคนย่อมจะมีอาชีพหรือหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบประจำวันอยู่แล้ว
การจะต้องคิดและรับผิดชอบมากขึ้นเกี่ยวกับ “คดีความ” ที่ตามมา และเมื่อเกิดเป็นคดีความขึ้นแล้ว แทบจะหาคนที่ “อยู่เย็นเป็นสุข” ได้ยาก
จะมากจะน้อยเราจะต้องมาคอยกังวลว่าจะต้องทำอะไรต่อไป
และสุดท้ายผลที่จะเกิดขึ้นจะเป็นอย่างไร
แล้วเราจะได้อย่างที่เราเรียกร้องหรือต้องการหรือไม่ นอกจากนั้น
ปัญหาที่เกิดขึ้นอาจจะสร้างความทุกข์ให้กับผู้บริโภคแล้วตั้งแต่วันแรกที่เกิดเหตุการณ์ขึ้น
การต้องมารอ “ผล” ของการดำเนินการต่างๆ
อีกอาจจะไม่ทันกาลและต้องเยียวยาหรือแบกรับภาระต่างๆ ด้วยตนเองเป็นเวลานาน
สำหรับหลายคนอาจจะพอแบกรับได้และรอวันที่สิทธิของตนเองได้รับการยืนยัน แต่กับหลายๆ
คน เพียงแค่ให้รอก็อาจจะไม่สามารถรอได้แล้ว ดังนั้น
วิธีการที่ดีที่สุดคือทำอย่างไรให้ปัญหาได้รับการแก้ไข
และความทุกข์ได้รับการเยียวยาโดยเร็วที่สุด
วิธีการหนึ่งหรือแนวทางหนึ่งที่กฎหมายวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคได้เปิดทางไว้ให้คือ
“การเจรจา”
กันระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบธุรกิจ
เพื่อเปิดโอกาสให้คนที่เกี่ยวข้องสามารถหาวิธีการแก้ไขปัญหาที่ทั้งสองพอจะยอมรับได้
หรืออย่างน้อยที่สุดก็ “อยู่” กับวิธีการนั้นได้
หากการเจรจาต้องดำเนินไป
แต่คู่กรณีต้องรีบเร่งเพื่อดำเนินการทางคดีก่อนที่ “อายุความ” จะสิ้นสุดลง
การเจรจาที่เกิดขึ้นก็ต้องดำเนินไปอย่างรีบร้อนโดยยังไม่ทันที่คู่กรณีได้จะได้พูดคุยกันโดยละเอียด
และเมื่อใดที่ต้องดำเนินการทางคดีความกันแล้ว ปัญหาที่เคยมีอยู่เพียงหนึ่งหรือสองอาจจะงอกเงยกลายเป็นสามหรือสี่ได้ง่ายๆ
เพราะเมื่อพูดถึงการดำเนินการทางคดีแล้วย่อมหลีกเลี่ยงไม่พ้นที่จะมี “แง่มุม”
ทางด้านกฎหมายที่แต่ละฝ่ายต่างยกหรือสรรหากันขึ้นมาเพื่อว่าจะทำให้ “รูปคดี” ของตนดูดีกว่าของอีกฝ่ายหนึ่ง ปัญหาหลายเรื่องเดิมอาจจะไม่ใช่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นหรือเป็นเรื่องที่คู่กรณีให้ความสำคัญ
แต่เมื่อเกิดเป็นคดีความกันขึ้นแล้วปัญหาพวกนี้อาจจะลุกลามได้ง่ายๆ เพราะเหตุของ “แง่มุม” ทางกฎหมายและ “รูปคดี” แม้แต่เรื่อง “ค่าใช้จ่าย”
เอง การดำเนินการทางคดีย่อมทำให้เกิด “ตัวเงิน” ค่าใช้จ่ายเพิ่มมา เมื่อเกิดค่าใช้จ่ายขึ้น “ตัวเงิน” เหล่านี้ก็จะกลายเป็นประเด็นที่ “เพิ่มเติม” ให้คู่กรณีต้องแก้ปัญหามากยิ่งขึ้นไปอีก
มาตรการที่กฎหมายวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคได้นำมาใช้ซึ่งคล้ายกับกรณีที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยที่เราได้พูดถึงกันมาแล้วคือการกำหนดให้
“อายุความสะดุดหยุดอยู่”
จึงคงไม่ต้องพูดซ้ำอีกในที่นี้ แต่อาจสรุปได้ว่า ในระหว่างที่มีการเจรจากันระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบธุรกิจ
ระยะเวลาของการเจรจาจะไม่นับรวมอยู่ในอายุความหากต้องมีการดำเนินคดีกัน
เจรจากันกี่วันก็หักออกไปจากระยะเวลาที่ใช้นับอายุความ
แต่เมื่อใดที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงฝ่ายเดียวได้บอกเลิกการเจรจาก็จะต้องเริ่มนับอายุความกันต่อจากที่นับค้างไว้ก่อนเริ่มการเจรจา
หากในระหว่างการเจรจาระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบธุรกิจได้มีการขอให้มี
“บุคคลที่สาม” ที่เป็น “คนกลาง”
มาช่วยไกล่เกลี่ยปัญหาที่เกิดขึ้นเพื่อให้การเจรจาระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบธุรกิจมีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้น
การที่มีบุคคลที่สามมาช่วยในการเจรจาด้วยก็คงจะไม่ทำให้ผลของ “อายุความสะดุดหยุดอยู่” ต้องเปลี่ยนแปลงไปเพราะไม่ว่าจะมีใครเข้ามาเกี่ยวข้องกับ
“การเจรจา”
ด้วยและเรียกรูปแบบการดำเนินการนั้นว่าอย่างไร
แต่เนื้อหาสาระของสิ่งที่ผู้บริโภคและผู้ประกอบธุรกิจกำลังดำเนินการอยู่นั้นก็ยังเป็น
“การเจรจา” กันอยู่นั่นเอง
เพราะในกระบวนการเหล่านั้นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในการกำหนดอนาคตหรือผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นยังเป็นผู้บริโภคและผู้ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องอยู่นั่นเอง
ปัญหาในทางปฏิบัติที่ต้องระมัดระวังและให้ความสำคัญคือการทำให้เกิดความชัดเจนว่าการเจรจาที่จะมีผลให้อายุความสะดุดหยุดอยู่นี้เริ่มต้นขึ้น
ณ วันใดตามปีปฏิทินและสิ้นสุดลง ณ วันที่เท่าใด
เพราะวันทั้งสองจะมีผลต่อการนับอายุความซึ่งอาจมีผลได้มากต่อการดำเนินการทางคดีที่จะเกิดขึ้นตามมาหากการเจรจานั้นไม่สามารถบรรลุผลที่ต้องการได้
ความสำคัญและบทบาทของ “การเจรจา” และ “การไกล่เกลี่ย”
นี้มีมากจนกระทั่งแม้แต่ในกรณีที่ได้มีการฟ้องร้องดำเนินคดีกันแล้ว
กฎหมายวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคยังได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้อีกชั้นหนึ่งว่าในวันนัดพิจารณาที่โจทก์และจำเลยมาพร้อมกันแล้ว
ให้ทำการไกล่เกลี่ยให้คู่ความได้ตกลงกันหรือประนีประนอมยอมความกันก่อนที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างอื่นต่อไป
โดยในการไกล่เกลี่ยนั้นอาจจะดำเนินการโดยเจ้าพนักงานคดีที่มีหน้าที่ดูแลคดีผู้บริโภคโดยตรงหรืออาจจะเป็นบุคคลอื่นเช่นเป็นผู้ประนีประนอมของศาลต่างๆ
ก็ได้
ในกรณีปกติเมื่อเจรจาหรือไกล่เกลี่ยกันได้แล้ว
หากมีการตกลงกันได้ระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบธุรกิจก็จะมีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความหรืออาจจะถอนฟ้องคดีนั้นออกไป
ผู้บริโภคหรือผู้ประกอบธุรกิจย่อมมีอำนาจเต็มที่ที่จะตัดสินใจว่าจะยอมรับตามเงื่อนไขหรือข้อกำหนดของสัญญาประนีประนอมยอมความที่จะทำขึ้นหรือไม่
แต่เนื่องจากในการดำเนินคดีผู้บริโภคนี้อาจจะมีกรณีที่คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคหรือสมาคมที่คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภครับรองดำเนินการฟ้องร้องหรือดำเนินคดีแทนผู้บริโภคที่เกี่ยวข้อง
หากมีการเจรจาหรือไกล่เกลี่ยตกลงกันได้ระหว่างผู้ที่ดำเนินการฟ้องคดีแทนผู้บริโภคกับผู้ประกอบธุรกิจ
การจะถอนฟ้องหรือทำสัญญาประนีประนอมยอมความในกรณีนี้จะต้องได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากผู้บริโภคที่เกี่ยวข้องด้วย
เนื่องจากการตกลงดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อสิทธิที่ผู้บริโภคมีอยู่แต่เดิม
หากมีการตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความไปแล้ว
ไม่ว่าสิทธิหน้าที่ของแต่ละฝ่ายมีอยู่เดิมอย่างไรก็จะต้องเปลี่ยนไปผูกพันกันตามเงื่อนไขหรือข้อกำหนดของสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำขึ้นเท่านั้นและจะกลับไปเรียกร้องกันตามสิทธิหน้าที่เดิมไม่ได้อีกแล้ว
ดังนั้น
จึงจำเป็นต้องให้ผู้บริโภคที่เกี่ยวข้องที่เป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงได้มีโอกาสตรวจสอบสิทธิหน้าที่ที่จะเกิดขึ้นใหม่ตามข้อตกลงเสียก่อนว่าเพียงพอที่จะแก้ไขปัญหาหรือเยียวยาความทุกข์ของตนได้หรือไม่
หากผู้บริโภคนั้นเห็นชอบด้วยก็จะต้องให้ผู้บริโภคที่เกี่ยวข้องให้ความยินยอมเป็นหนังสือด้วย
ในกรณีที่ผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภคต้องการจะ “ถอนฟ้อง” ไป
ศาลจะต้องพิจารณาก่อนว่าการถอนฟ้องนั้นจะเป็นผลเสียต่อการคุ้มครองผู้บริโภคเป็นส่วนรวมหรือไม่
เพราะในการดำเนินคดีผู้บริโภค
ศาลอาจจะมีคำสั่งที่มีลักษณะเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคโดยทั่วไปที่อาจจะได้รับผลกระทบจากสินค้าหรือการประกอบธุรกิจของผู้ประกอบธุรกิจแม้ว่าผู้บริโภคเหล่านั้นจะไม่ได้ฟ้องร้องหรือเข้าร่วมเป็นคู่ความในคดีด้วย
การถอนฟ้องจึงอาจจะทำให้ไม่สามารถให้ความคุ้มครองแก่ผู้บริโภคโดยรวมซึ่งไม่ได้รับประโยชน์จากข้อตกลงในการถอนฟ้องระหว่างผู้ประกอบธุรกิจกับผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภค
ทำให้ต้องมีการตรวจสอบโดยรอบคอบก่อน
อายุความสะดุดหยุดอยู่ในระหว่างที่
· มีการเจรจาเกี่ยวกับค่าเสียหายระหว่างผู้ประกอบธุรกิจกับผู้บริโภคหรือผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภค
· มีผลให้ไม่นับระยะเวลาของการเจรจารวมอยู่ในอายุความด้วย
· แต่อายุความจะนับต่อเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งบอกเลิกการเจรจา
การไกล่เกลี่ยในวันนัดพิจารณา
· ให้เจ้าพนักงานคดีหรือบุคคลที่ศาลกำหนดหรือคู่ความตกลงกันทำการไกล่เกลี่ย
· ในวันนัดพิจารณาเมื่อโจทก์และจำเลยมาพร้อมกัน
การถอนฟ้องหรือประนีประนอมโดยผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภค
· ต้องได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากผู้บริโภคที่เกี่ยวข้องมาแสดง
· การถอนฟ้องจะอนุญาตได้เมื่อเห็นว่าไม่เป็นผลเสียต่อการคุ้มครองผู้บริโภคเป็นส่วนรวม
|
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น