การคุ้มครองผู้บริโภคในการขายตรง และการตลาดแบบตรง


          ในการใช้วิธีการทำตลาดแบบตรงหรือการขายตรงนั้นมีโอกาสที่ผู้บริโภคจะเสียเปรียบได้หลายทางด้วยกัน  ทำให้จำเป็นต้องมีมาตรการทางกฎหมายหลายประการมาเป็นหลักประกันให้ความคุ้มครองแก่ผู้บริโภค สำหรับในส่วนของกฎหมายที่ให้ความคุ้มครอง ตัวแทนขายตรง และ ผู้จำหน่ายอิสระ นั้นคงจะอยู่นอกเหนือขอบเขตที่จะนำมากล่าวในที่นี้

          เนื่องจากการเสนอขายสินค้าหรือบริการแบบขายตรงนั้นจะทำ ณ สถานที่ที่ผู้บริโภคอยู่ ซึ่งอาจะเป็นสถานที่ทำงานหรือที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคก็ได้ ก่อนที่ตัวแทนขายตรงหรือผู้จำหน่ายอิสระจะเข้าไปติดต่อเพื่อเสนอขายสินค้าหรือบริการให้แก่ผู้บริโภคได้จะต้องได้รับอนุญาตจากผู้บริโภคหรือผู้ครอบครองสถานที่นั้นเสียก่อน ไม่สามารถที่จะถือวิสาสะเข้าไปตระเวนเสนอขายสินค้าหรือบริการให้แก่บรรดาคนที่อยู่ในสถานที่นั้นได้ และในการเสนอขายสินค้าหรือบริการนั้นจะต้องไม่ทำอะไรที่เป็นการรบกวนหรือทำให้เกิดความรำคาญแก่ผู้บริโภคหรือผู้ที่ครอบครองสถานที่นั้น นอกจากนั้น ตัวแทนขายตรงและผู้จำหน่ายอิสระต้องแสดงบัตรประจำตัวประชาชนและบัตรประจำตัวตัวแทนขายตรงหรือผู้จำหน่ายอิสระที่ออกโดยผู้ประกอบธุรกิจขายตรงให้ผู้บริโภคดูด้วยเพื่อให้แน่ใจว่าผู้ที่เข้ามาสถานที่ของผู้บริโภคนั้นเป็นบุคคลที่ได้รับมอบหมายจากผู้ประกอบธุรกิจขายตรงจริงๆ ไม่ได้เป็นการแอบแฝงมาเพื่อจะทำอันตรายผู้บริโภค

          เมื่อมีการขายสินค้าหรือบริการให้แก่ผู้บริโภคแล้ว จะต้องมีการให้เอกสารเกี่ยวกับการซื้อขายสินค้าหรือบริการให้แก่ผู้บริโภคด้วย โดยเอกสารดังกล่าวจะต้องเป็นเอกสารที่เป็นภาษาไทยที่สามารถอ่านเข้าใจได้ง่ายและต้องระบุชื่อผู้ซื้อผู้ขาย วันที่ซื้อขายและวันที่ส่งมอบสินค้าหรือบริการให้ด้วย นอกจากนั้นยังต้องให้ข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับสิทธิของผู้บริโภคกรณีที่จะเลิกสัญญาไว้ด้วย  โดยเฉพาะข้อความที่เกี่ยวกับสิทธิในการเลิกสัญญานั้นต้องใช้ตัวอักษรที่สามารถเห็นได้เด่นชัดกว่าข้อความอื่นโดยทั่วไปในสัญญาเพื่อให้ผู้บริโภคสามารถตระหนักถึงสิทธิของตนได้ดียิ่งขึ้น หากไม่มีการจัดให้มีเอกสารดังกล่าวจะถือว่าการซื้อขายสินค้าหรือบริการนั้นไม่มีผลผูกพันผู้บริโภค

          สำหรับสิทธิในการเลิกสัญญานั้น กฎหมายกำหนดเพื่อให้ผู้บริโภคมีโอกาสไตร่ตรองและยับยั้งชั่งใจอีกครั้งหนึ่งภายหลังจากที่ไม่มีตัวแทนขายตรงและผู้จำหน่ายอิสระอยู่ด้วยแล้วซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคไม่ได้ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลการหว่านล้อมหรือการพูดเสนอขายที่รุกเร้าด้วยวิธีการต่างๆ แล้ว ผู้บริโภคจึงจะมีโอกาสคิดให้ดีมากขึ้นว่าจริง ๆ แล้วสินค้าหรือบริการที่นำมาเสนอขายนั้นมีคุณประโยชน์ตามที่ตนเองต้องการจริง ๆ หรือไม่  และความจริงแล้วผู้บริโภคต้องการที่จะซื้อสินค้าหรือบริการนั้นมาใช้อย่างแท้จริงหรือไม่ หรือเพียงแต่ถูกอิทธิพลของการเสนอขายทำให้รู้สึกว่าตนเองควรต้องซื้อสินค้าหรือบริการนั้นทั้ง ๆ ที่เมื่อได้รับสินค้าหรือบริการนั้นมาแล้วผู้บริโภคอาจจะสงสัยในตัวเองว่าตนจะทำอย่างไรกับสินค้าหรือบริการที่ตกลงซื้อมาดี

          การใช้สิทธิเลิกสัญญาดังกล่าวนี้ผู้บริโภคต้องทำด้วยการส่งหนังสือแสดงเจตนาขอเลิกสัญญาไปยังผู้ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องภายใน 7 วันนับแต่วันที่ตนได้รับสินค้าหรือบริการนั้น ในการส่งหนังสือเลิกสัญญาดังกล่าวในกรณีที่เป็นการขายตรง ผู้บริโภคยังอาจขอเลิกสัญญาด้วยการแจ้งไปยังตัวแทนขายตรงหรือผู้จำหน่ายอิสระก็ได้

          เมื่อมีการใช้สิทธิเลิกสัญญา สิ่งที่จะต้องทำต่อไป คือ การคืนสินค้าที่ได้รับมานั้น เพราะเมื่อผู้บริโภคไม่ต้องการใช้สินค้านั้นแล้วก็ต้องมีหน้าที่ส่งคืนให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจด้วย วิธีการในการคืนสินค้ามี 2 วิธีการด้วยกัน

          วิธีการแรกคือผู้บริโภคอาจจัดส่งสินค้าคืนไปยังผู้จำหน่ายอิสระ ตัวแทนขายตรงหรือจะคืนไปยังผู้ประกอบธุรกิจขายตรงก็ได้ แต่หากเป็นกรณีการตลาดแบบตรง ผู้บริโภคก็จะต้องคืนสินค้าไปยังผู้ประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงเท่านั้น

          วิธีการที่สองคือผู้บริโภคอาจจะเก็บรักษาสินค้านั้นไว้เป็นเวลา 21 วันเพื่อให้ผู้จำหน่ายอิสระ ตัวแทนขายตรงหรือผู้ประกอบธุรกิจจัดการมารับสินค้าไปจากผู้บริโภค ณ สถานที่ที่เป็นภูมิลำเนาของผู้บริโภคเอง เพราะในขณะที่มาเสนอขายสินค้ายังสามารถมาถึงสถานที่ของผู้บริโภคได้ ในการมารับสินค้ากลับคืนไปจึงควรสามารถมาดำเนินการรับไปจากภูมิลำเนาของผู้บริโภคได้ด้วย ในกรณีนี้ผู้ประกอบธุรกิจอาจขอให้ผู้บริโภคจัดการส่งสินค้าคืนทางไปรษณีย์โดยเรียกเก็บเงินปลายทางก็ได้ หากมีการร้องขอดังกล่าว ผู้บริโภคก็มีหน้าที่ต้องดำเนินการส่งคืนตามที่ได้รับการร้องขอด้วย แต่การขอให้ส่งคืนทางไปรษณีย์นี้จะต้องทำภายในระยะเวลา 21 วันที่กำหนดให้ผู้บริโภคเก็บรักษาสินค้าไว้ด้วย

          ในกรณีที่ผู้บริโภคใช้สิทธิเลิกสัญญาดังกล่าวนี้ ผู้จำหน่ายอิสระ ตัวแทนขายตรงหรือผู้ประกอบธุรกิจมีหน้าที่ต้องคืนเงินให้แก่ผู้บริโภคเต็มจำนวนที่ผู้บริโภคจ่ายไปในการซื้อสินค้าหรือบริการนั้นภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแสดงเจตนาเลิกสัญญา หากไม่มีการชำระเงินคืนภายในกำหนด ผู้บริโภคมีสิทธิยึดหน่วงสินค้าไว้จนกว่าจะได้รับคืนเงินที่จ่ายไปได้ นอกจากนั้น กรณีที่ไม่จ่ายคืนตามกำหนด ผู้จำหน่ายอิสระ ตัวแทนขายตรงหรือผู้ประกอบธุรกิจจะต้องชำระเบี้ยปรับตามอัตราที่คณะกรรมการกำหนดด้วย

          ด้วยวิธีการและมาตรการต่างๆ เหล่านี้คงจะช่วยทำให้การตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการในการขายตรงและการตลาดแบบตรงของผู้บริโภคมีความรอบคอบมากขึ้นและทำให้ผู้บริโภคได้สินค้าหรือบริการที่มีคุณภาพตามที่ตนต้องการอย่างแท้จริง


การเข้าไปเสนอขาย
·       ต้องได้รับอนุญาตจากผู้บริโภคหรือผู้ครอบครองสถานที่
·       ต้องไม่รบกวนหรือทำให้เกิดความรำคาญ
·       ต้องแสดงบัตรประจำตัว

การเลิกสัญญา
·       ผู้บริโภคเลิกสัญญาได้ภายใน 7 วันนับแต่วันที่ได้รับสินค้าหรือบริการ
·       การเลิกสัญญาทำได้ด้วยการส่งหนังสือแสดงเจตนาไปยังผู้จำหน่ายอิสระ ตัวแทนขายตรงหรือผู้ประกอบธุรกิจ

การคืนสินค้า
·       ส่งคืนไปยังผู้จำหน่ายอิสระ ตัวแทนขายตรงหรือผู้ประกอบธุรกิจ
·       ให้ผู้จำหน่ายอิสระ ตัวแทนขายตรงหรือผู้ประกอบธุรกิจมารับไป ณ ภูมิลำเนาของผู้บริโภคภายใน 21 วันนับแต่วันที่ใช้สิทธิเลิกสัญญา
·       ผู้ประกอบธุรกิจอาจขอให้ผู้บริโภคจัดส่งสินค้าคืนทางไปรษณีย์ ภายใน 21 วันนับแต่วันที่ใช้สิทธิเลิกสัญญา โดยเรียกเก็บเงินปลายทางได้

การคืนเงิน
·       ผู้จำหน่ายอิสระ ตัวแทนขายตรงหรือผู้ประกอบธุรกิจต้องคืนเงินที่ผู้บริโภคจ่ายไปคืนเต็มจำนวน
·       การคืนเงินต้องคืนภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแสดงเจตนาเลิกสัญญา
·       หากไม่คืนเงิน ผู้บริโภคมีสิทธิยึดหน่วงสินค้านั้นไว้ได้


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ความรับผิดของผู้ถือหุ้น หุ้นส่วน หรือบุคคลที่มีอำนาจควบคุมนิติบุคคล

ฮั้ว

บางครั้งก็ต้องยอม