ธุรกิจที่ควบคุมสัญญา
ในการทำดำเนินธุรกิจนั้นมีหลายกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจจะทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรหรือที่เรียกว่าเป็น
“หนังสือ” กับผู้บริโภค
โดยอาจจะเกิดจากการที่กฎหมายบังคับให้ต้องทำเป็นหนังสือ หรือในประเพณีการทำธุรกิจประเภทนั้นมักจะทำสัญญาเป็นหนังสือไว้เพื่อใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงเกี่ยวกับสิทธิหน้าที่ของคู่สัญญา
กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคจึงได้มีการกำหนดให้ความคุ้มครองเกี่ยวกับสัญญาที่จะทำขึ้นในกรณีเหล่านี้ด้วย
การคุ้มครองผู้บริโภคในด้านสัญญาตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค
พ.ศ. 2522 นี้จะเห็นได้ว่าเป็นการคุ้มครองเพื่อไม่ให้ผู้บริโภคถูกเอารัดเปรียบในการเข้าทำสัญญากับผู้ประกอบธุรกิจคล้ายกับที่ได้กล่าวถึงไปในการคุ้มครองตามพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม
พ.ศ. 2540 หากจะมองถึงความแตกต่างของกลไกตามกฎหมายทั้งสองจะเห็นได้ว่าการคุ้มครองผู้บริโภคในด้านสัญญาตามกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคนี้จะเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ของสัญญาที่ผู้บริโภคไว้ล่วงหน้าว่าสัญญาที่จะทำขึ้นนั้นจะต้องมีข้อความลักษณะใดบ้างและจะต้องไม่มีข้อความลักษณะใดบ้างเพื่อให้ผู้ประกอบธุรกิจใช้เป็นแนวทางในการกำหนดเงื่อนไขและข้อกำหนดของสัญญาที่จะทำขึ้นกับผู้บริโภคต่อไป
ในขณะที่การคุ้มครองตามพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540
นั้นเป็นการเข้าไปคุ้มครองด้วยการตรวจสอบภายหลังจากที่ผู้ประกอบธุรกิจเข้าทำสัญญากับผู้บริโภคแล้วว่าเงื่อนไขและข้อกำหนดของสัญญาที่ทำขึ้นนั้นมีส่วนใดที่เป็นข้อตกลงที่ทำให้คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งได้เปรียบเกินสมควรหรือไม่
การคุ้มครองผู้บริโภคในด้านสัญญาตามกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคจะใช้บังคับเฉพาะกับสัญญาบางประเภทที่มีประกาศกำหนดเท่านั้น
แต่การคุ้มครองตามกฎหมายว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมจะใช้บังคับกับสัญญาทุกประเภทที่ทำขึ้นระหว่างผู้ประกอบธุรกิจหรือวิชาชีพกับผู้บริโภค
ที่ทำเป็นสัญญาสำเร็จรูปหรือที่เป็นสัญญาขายฝาก
การควบคุมสัญญาโดยการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับข้อสัญญาไว้ล่วงหน้านี้เป็นวิธีการที่ช่วยให้ข้อสัญญาที่จะทำขึ้นมีความแน่นอนเกี่ยวกับผลทางกฎหมายเพราะคู่สัญญาสามารถรู้ได้ตั้งแต่ก่อนทำสัญญาว่าในสัญญานั้นตนควรต้องใส่ข้อสัญญาอะไรลงไปบ้างและข้อสัญญาลักษณะใดที่ไม่ควรใส่ไปในสัญญาเหล่านั้น
หน่วยงานที่มีบทบาทในการคุ้มครองผู้บริโภคในด้านสัญญานี้
คือ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคโดยมีคณะกรรมการว่าด้วยสัญญาซึ่งเป็นคณะกรรมการเฉพาะเรื่องที่ทำหน้าที่ในการกำหนดว่าการประกอบธุรกิจขายสินค้าหรือให้บริการชนิดใดที่จะเป็น
“ธุรกิจที่ควบคุมสัญญา”
โดยธุรกิจที่จะกำหนดให้เป็น “ธุรกิจที่ควบคุมสัญญา”
ได้นั้นจะต้องเป็นธุรกิจที่กฎหมายกำหนดไว้โดยเฉพาะให้ต้องทำเป็นหนังสือซึ่งหากไม่ได้ทำสัญญาประเภทนี้เป็นหนังสือแล้วจะทำให้สัญญานั้นเป็นโมฆะ
หรือสำหรับธุรกิจประเภทอื่นที่กฎหมายไม่ได้กำหนดไว้โดยเฉพาะให้ต้องทำเป็นหนังสือ
จะต้องเป็นธุรกิจที่ตามปกติประเพณีในการทำธุรกิจประเภทนั้นจะมีการทำสัญญากันเป็นหนังสือ
การที่กฎหมายกำหนดเรื่องการทำสัญญาเป็นหนังสือนี้คงจะเนื่องจากการทำสัญญาที่ทำด้วยวาจาปกติจะไม่มีรายละเอียดที่ซับซ้อนมากนักและโดยสภาพคู่สัญญาย่อมต้องมีโอกาสพูดคุยเจรจาเกี่ยวกับข้อตกลงในสัญญาอยู่แล้ว
ในปัจจุบันมีการออกประกาศกำหนดให้ธุรกิจหลายประเภทเป็น
“ธุรกิจที่ควบคุมสัญญา” เช่น
ธุรกิจการให้กู้ยืมเงินเพื่อผู้บริโภคของสถาบันการเงิน ธุรกิจการขายรถยนต์ที่มีการจอง
ธุรกิจขายห้องชุด ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ธุรกิจให้เช่าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า
ธุรกิจการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ธุรกิจบัตรเครดิต เป็นต้น
นอกจากนั้น
กฎหมายยังให้อำนาจคณะกรรมการกำหนดให้ธุรกิจบางประเภทเป็น “ธุรกิจที่ควบคุมรายการในหลักฐานการรับเงิน” ด้วย
ซึ่งจะเป็นการให้ความคุ้มครองอีกส่วนหนึ่งแต่ไม่ขอนำรายละเอียดมากล่าวถึงไว้ในที่นี้
ธุรกิจที่ถูกกำหนดให้เป็นธุรกิจที่ควบคุมรายการในหลักฐานการรับเงิน เช่น
ธุรกิจการขายรถยนต์ใช้แล้ว ธุรกิจการให้เช่าที่อยู่อาศัยที่เรียกเงินประกัน
ธุรกิจขายก๊าซหุงต้ม เป็นต้น
การที่คณะกรรมการว่าด้วยสัญญากำหนดให้การทำสัญญาในธุรกิจอย่างหนึ่งอย่างใดเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญานั้นมีผลที่สำคัญ
2 ประการ ประการแรก คือ ในสัญญาที่ทำในธุรกิจเหล่านี้จะต้องใช้ “ข้อสัญญาที่จำเป็น” ตามที่กำหนดไว้
และประการที่สองคือห้ามใช้ข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภคซึ่งในตอนต่อไปจะได้นำตัวอย่างของข้อสัญญาทั้งสองลักษณะมาพิจารณากันเป็นตัวอย่าง
สำหรับผลกรณีที่ไม่ได้ปฏิบัติตามกติกาที่กำหนดไว้นี้จะเป็นอย่างไรจะได้นำมากล่าวถึงหลังจากที่เราได้ดูลักษณะของข้อสัญญาทั้งที่กำหนดให้ใช้และที่ห้ามใช้
ธุรกิจที่ควบคุมสัญญา
· เป็นการประกอบธุรกิจขายสินค้าหรือให้บริการ
· สัญญาซื้อขายหรือให้บริการในธุรกิจนั้นกฎหมายกำหนดให้ทำเป็นหนังสือ
หรือตามปกติประเพณีทำเป็นหนังสือ
· เป็นธุรกิจที่คณะกรรมการว่าด้วยสัญญากำหนดให้เป็น
“ธุรกิจที่ควบคุมสัญญา”
|
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น