ความเสียหายตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดต่อ ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย
เรารู้แล้วว่า “ความเสียหายต่อตัวสินค้าที่ไม่ปลอดภัย”
เป็นกรณีที่ไม่รวมอยู่ในกฎหมายว่าด้วยความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย
คราวนี้มาดูกันต่อว่าแล้วมีความเสียหายอะไรบ้างที่อยู่ในขอบเขตของกฎหมายนี้
ในส่วนของค่าสินไหมทดแทนตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยนี้เองยังอาจแบ่งได้เป็น
2 ประเภท
ค่าเสียหายสำหรับความเสียหายต่อจิตใจ
ในกรณีนี้เป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นกับจิตใจของตัวผู้เสียหายเองและอาจจะรวมถึงที่เกิดขึ้นกับบุคคลรอบข้างของผู้เสียหายด้วยในบางกรณี
ลักษณะที่สำคัญประการหนึ่งของค่าเสียหายสำหรับความเสียหายต่อจิตใจนี้
คือ ความเสียหายต่อจิตใจนั้นต้องเป็นผลสืบเนื่องมาจากความเสียหายต่อร่างกาย สุขภาพ
หรืออนามัยอย่างใดอย่างหนึ่งด้วย ดังนั้น
หากความเสียหายที่ผู้เสียหายได้รับคงมีแต่ความเสียหายต่อจิตใจเพียงอย่างเดียวโดยไม่เกิดความเสียหายด้านอื่นๆ
ไม่ว่าจะเป็นในด้านร่างกาย สุขภาพ หรืออนามัยด้วยแล้ว
ผู้เสียหายคงจะไม่สามารถเรียกค่าเสียหายสำหรับความเสียหายต่อจิตใจในกรณีแบบนี้ได้
บางท่านอาจจะสงสัยว่ากรณีแบบไหนที่จะมีแต่
“ความเสียหายต่อจิตใจ”
โดยที่ไม่ได้เป็นผลมาจากความเสียต่อร่างกาย สุขภาพ หรืออนามัยของผู้เสียหาย
กรณีประเภทนี้ก็อาจเกิดขึ้นได้ในหลายลักษณะ
แต่ตอนนี้เราลองกลับไปดูตัวอย่างกรณีแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือของนายชัยที่เกิดระเบิดขึ้น
หากสมมติว่าขณะที่แบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือก้อนนี้เกิดระเบิดขึ้นในขณะที่นายชัยใส่ไว้ในโทรศัพท์มือถือของตนเองแล้วกำลังพกโทรศัพท์มือถือเครื่องนั้นอยู่ด้วยการเหน็บไว้ที่บริเวณเอว
แรงระเบิดทำให้ซองโทรศัพท์มือถือฉีกขาดจนโทรศัพท์กระเด็นออกไป
เสียงระเบิดดังสนั่นทำให้นายชัยตกใจกลัวจนตัวสั่นงันงกทั้งจากเสียงอันดังและความกลัวว่าอวัยวะส่วนใดในร่างกายที่ได้รับอันตรายจากการระเบิด
แต่นอกจากนั้นนายชัยไม่ได้รับอันตรายต่อเนื้อตัวร่างกายอะไร
การที่ “นายชัย” ตกใจกลัวจนตัวสั่นงันงกในที่นี้จะเห็นได้ว่าไม่ได้เกิดจากการที่ชัยได้รับอันตรายบาดเจ็บร้ายแรงอย่างหนึ่งอย่างใด
หากแต่เกิดจากเสียงระเบิดที่ดังลั่นขึ้น แม้อาจจะพอถือได้ว่านายชัยได้รับความเสียหายต่อจิตใจ
แต่จะสังเกตเห็นได้ว่าความเสียหายต่อจิตใจในกรณีนี้ไม่ได้เกิดจากความเสียหายต่อร่างกาย
สุขภาพ หรืออนามัยแต่ประการใด หากจะมีความเสียหายที่เป็นรูปธรรมต่อนายชัยก็คงเป็นเพียงความเสียหายต่อทรัพย์สินที่
“โทรศัพท์มือถือ” พังและ “ซองโทรศัพท์มือถือ” ฉีกขาดเท่านั้น
ความเสียหายต่อจิตใจที่เป็นผลมาจากความเสียหายต่อทรัพย์สินนี้ไม่อยู่ในขอบเขตของความเสียหายต่อจิตใจที่กฎหมายว่าด้วยความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยกำหนดให้เรียกได้
แต่หากการที่แบตเตอรี่ระเบิดนั้นมีผลทำให้
“นิ้วมือ” ของนายชัยขาดไปด้วยไม่ว่าจะกี่นิ้วก็แล้วแต่
การที่นายชัยต้องเศร้าโศกเสียใจเพราะเหตุที่นิ้วมือขาดถือเป็นความเสียหายต่อจิตใจที่เป็นผลเนื่องมาจากความเสียหายต่อร่างกาย
จึงถือว่าเป็นความเสียหายต่อจิตใจส่วนที่สามารถเรียกค่าเสียหายได้
ในกรณีปกติ ผู้ที่มีสิทธิเรียก
“ค่าเสียหายสำหรับความเสียหายต่อจิตใจ”
ได้จะได้แก่ตัวผู้เสียหายที่ได้รับความเสียหายจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยนั้น บุคคลอื่นแม้จะได้รับความเสียหายต่อจิตใจที่ต้องเศร้าโศกจากการที่เห็นผู้เสียหายนั้นทนทุกข์ทรมานเพราะผู้เสียหายเป็นญาติใกล้ชิดกับตนเองก็ไม่สามารถเรียกค่าเสียหายต่อจิตใจนี้ได้
กรณีบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ผู้เสียหายที่ได้รับความเสียหายจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยโดยตรงจะมีสิทธิเรียกร้อง
“ค่าเสียหายสำหรับความเสียหายต่อจิตใจ”
จะได้แก่กรณีที่ตัวผู้เสียหายโดยตรงนั้นถึงแก่ความตาย
ในกรณีนี้ตัวผู้เสียหายย่อมไม่มีทางที่จะเกิดมี “ความเสียหายต่อจิตใจ” ได้อีกเพราะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ความเสียหายต่อจิตใจจะเกิดขึ้นกับบุคคลรอบข้าง
ไม่ว่าจะเป็นสามีหรือภรรยา บุพการีหรือลูกของผู้เสียหายนั้น
บุคคลรอบข้างเหล่านี้จึงมีสิทธิที่จะเรียก “ค่าเสียหายสำหรับความเสียหายต่อจิตใจ” ในกรณีนี้ได้
ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการลงโทษ
ค่าสินไหมทดแทนประเภทนี้ถือว่าเป็นค่าสินไหมทดแทน “ชนิด” ใหม่ที่เกิดขึ้นในแวดวงกฎหมายของไทยเรา
แต่เป็นแนวคิดที่ใช้กันมานานแล้วในต่างประเทศ
หากจะเปรียบเทียบให้เห็นข้อแตกต่างระหว่าง “ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการลงโทษ” กับ “ค่าสินไหมทดแทน”
ดั้งเดิมที่เราเคยมีเคยใช้กันอยู่ในระบบกฎหมายไทยก็คงจะไม่ใช่เรื่องยากนักที่จะทำความเข้าใจ
เดิม หากเราจะมีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนอะไรก็แล้วแต่
ค่าสินไหมทดแทนนั้นต้องเป็นค่าสินไหมทดแทนสำหรับ “ความเสียหาย” ที่เกิดขึ้นกับตัวเราจริงๆ
ไม่ว่าความเสียหายนั้นจะเป็นความเสียหายที่คิดคำนวณเป็นเงินได้หรือคำนวณเป็นเงินไม่ได้ก็ตาม
ส่วน “ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการลงโทษ” นี้ เป็นค่าสินไหมทดแทนที่กฎหมาย
“ทบ”
เข้าไปเพิ่มเติมจากค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงๆ เช่น หากความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงอาจจะคิดเป็นเงินได้
“1,000,000 บาท”
ตามปกติเราย่อมจะมีสิทธิเรียกได้เฉพาะเงินหนึ่งล้านบาทนี้และศาลก็จะกำหนดค่าเสียหายให้มากกว่าหนึ่งล้านบาทนี้ไม่ได้
แต่ตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย
ศาลอาจจะกำหนดค่าสินไหมทดแทนเพื่อการลงโทษทบเข้าไปเพิ่มให้จากหนึ่งล้านบาที่ผู้เสียหายมีสิทธิได้รับอยู่แล้วหากเข้าตามกรณีและเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด
จำนวน “ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการลงโทษ” นี้จะเป็นเท่าใดแล้วแต่ว่าศาลจะเห็นสมควรกำหนดให้เป็นเท่าใดก็ได้
แต่สูงสุดจะต้องไม่เกินสองเท่าของ “ค่าสินไหมทดแทนที่แท้จริง” ดังนั้นหากค่าสินไหมทดแทนที่แท้จริงเท่ากับ 1,000,000 บาท ศาลก็กำหนดค่าสินไหมทดแทนเพื่อการลงโทษได้ไม่เกิน 2,000,000 บาท
อย่างไรก็ตาม “ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการลงโทษ” นี้ไม่ใช่ค่าสินไหมทดแทนที่อยู่ๆ นึกอยากจะให้ก็ให้
แต่การจะกำหนดให้ค่าสินไหมทดแทนประเภทนี้ได้ต้องปรากฏข้อเท็จจริงตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดด้วย
หลักเกณฑ์และเงื่อนไขดังกล่าวได้แก่
(ก)
ผู้ประกอบการได้ผลิต นำเข้า หรือขายสินค้าที่ไม่ปลอดภัยนั้นโดยตนเองรู้อยู่แล้วว่าสินค้าที่ตนเองผลิต
นำเข้า หรือขายนั้นเป็นสินค้าที่ไม่ปลอดภัยที่อาจจะทำให้เกิดอันตรายแก่ผู้ซื้อหรือบุคคลอื่นได้
หรือ
(ข)
ผู้ประกอบการนั้นอาจจะไม่รู้ว่าสินค้าที่ตนเองผลิต
นำเข้า หรือขายนั้นเป็นสินค้าที่ไม่ปลอดภัย แต่เป็นกรณีที่ “ความไม่รู้” ของผู้ประกอบการนั้นเป็นเพราะ “ความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง” ซึ่งถ้าหากผู้ประกอบการนั้นใช้ความระมัดระวังเพียงเล็กน้อยก็สามารถที่จะค้นหาหรือพบข้อมูลที่ทำให้รู้ได้ว่าสินค้าชนิดนั้นเป็นสินค้าที่ไม่ปลอดภัย
เช่น มีข่าวลงในหน้าหนังสือพิมพ์แต่ไม่ได้สนใจติดตามดู
หรือมีงานค้นคว้างานวิจัยที่เผยแพร่อยู่ในแวดวงการค้าหรืออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องอยู่แล้วที่จะแสดงให้เห็นว่าสินค้าชนิดนั้นอาจจะก่อให้เกิดอันตรายได้
เป็นต้น หรือ
(ค)
ขณะที่ผู้ประกอบการผลิต นำเข้า หรือขายสินค้าที่ไม่ปลอดภัยนั้นอาจจะไม่รู้ว่าสินค้านั้นเป็นสินค้าที่ไม่ปลอดภัยและการไม่รู้นั้นไม่ได้เกิดจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้ประกอบการด้วย
เพราะผู้ประกอบการอาจจะศึกษาข้อมูลดูแล้วยังไม่ปรากฏมีรายงานว่าสินค้าที่ตนจะผลิต
นำเข้า หรือขายนั้นเป็นสินค้าที่ไม่ปลอดภัย แต่ภายหลังจากที่มีการผลิต นำเข้า หรือขายสินค้าชนิดนั้นกลับปรากฏข้อมูลหรือข้อเท็จจริงขึ้นภายหลังว่าสินค้าชนิดนั้นอาจจะก่อให้เกิดอันตรายขึ้นได้
กรณีเช่นนี้ผู้ประกอบการก็จะต้องดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยนั้น
แต่หากผู้ประกอบการที่รู้ข้อมูลหรือข้อเท็จจริงนั้นแล้วนิ่งเฉยไม่ทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อป้องกันความเสียหายจนเป็นเหตุให้สินค้านั้นเกิดอันตรายขึ้นมาจริงๆ
เช่น อาจด้วยความเกรงกลัวจะเกิดการขาดทุนกับธุรกิจของตัวเอง เป็นต้น
กรณีเช่นนี้อาจจะเป็นเหตุให้ศาลกำหนดค่าสินไหมทดแทนเพื่อการลงโทษให้ได้
ทั้งสามกรณีนี้หากปรากฏข้อเท็จจริงลักษณะหนึ่งลักษณะใดก็อาจเป็นเหตุให้ศาลสามารถกำหนดค่าสินไหมทดแทนเพื่อการลงโทษได้แล้ว
ค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยนี้จึงอาจเรียกได้หลายกรณี
ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถให้ความคุ้มครองแก่ผู้เสียหายให้ได้รับความเป็นธรรมมากขึ้นและในขณะเดียวกันก็จะทำให้ผู้ประกอบการต้องยับยั้งชั่งใจมากขึ้นและตรวจสอบให้ดีมากขึ้นว่าสินค้าที่ตนเองจะนำออกสู่ท้องตลาดนั้นจะก่อให้เกิดอันตรายมากน้อยเพียงใด
ด้วยผลของการตรวจสอบและชั่งใจมากขึ้นนี้เองที่จะทำให้ผู้บริโภคได้เลือกหาสินค้าที่มีคุณภาพดีขึ้นและมีอันตรายน้อยลง
สุดท้ายย่อมจะทำให้สวัสดิภาพของทุกๆ คนในสังคมดียิ่งขึ้นตามไปด้วย
ค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย ประกอบด้วย
· ค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
· ค่าเสียหายสำหรับความเสียหายต่อจิตใจ
· ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการลงโทษ
ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการลงโทษ
จะกำหนดให้ได้ในกรณีที่ผู้ประกอบการได้ผลิต
นำเข้า หรือขายสินค้าที่ไม่ปลอดภัยนั้น
· โดยตนเองรู้อยู่แล้วว่าสินค้าที่ตนเองผลิต
นำเข้า หรือขายนั้นเป็นสินค้าที่ไม่ปลอดภัย
· โดยไม่รู้เพราะความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
หรือ
· ไม่ดำเนินการใดๆ
ตามสมควรเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหาย
ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการลงโทษกำหนดให้ได้ไม่เกิน
2 เท่าของค่าสินไหมทดแทนที่แท้จริง
|
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น