ความเสียหายตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดต่อ ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย


 เรารู้แล้วว่า ความเสียหายต่อตัวสินค้าที่ไม่ปลอดภัย เป็นกรณีที่ไม่รวมอยู่ในกฎหมายว่าด้วยความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย คราวนี้มาดูกันต่อว่าแล้วมีความเสียหายอะไรบ้างที่อยู่ในขอบเขตของกฎหมายนี้

          ค่าสินไหมทดแทนส่วนแรกที่จะต้องกล่าวถึงไว้ก่อนคือส่วนที่เรียกว่า ค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิด ซึ่งเป็นค่าสินไหมทดแทนที่ผู้เสียหายมีสิทธิได้รับตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำหนด ส่วนค่าสินไหมทดแทนตามที่กฎหมายว่าด้วยความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยนี้กำหนดถือได้ว่าเป็นส่วนที่เพิ่มเติมไปจากที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำหนด หลักเกณฑ์สำหรับค่าสินไหมทดแทนในแต่ละกรณีจะเป็นอย่างไรบ้างเช่น ค่าสินไหมทดแทนกรณีที่ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย หรือกรณีที่ผู้เสียหายถึงแก่ความตายจึงต้องอาศัยหลักเกณฑ์ตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำหนดสำหรับแต่ละกรณีเหล่านั้น รายละเอียดของค่าสินไหมทดแทนแต่ละประเภทมีค่อนข้างมากซึ่งคงจะไม่สามารถนำมากล่าวถึงในที่นี้ได้ ดังนั้นจึงจะขอกล่าวถึงเฉพาะค่าสินไหมทดแทนที่ได้มีการกำหนดหลักเกณฑ์ขึ้นใหม่ตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยนี้เท่านั้น

ในส่วนของค่าสินไหมทดแทนตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยนี้เองยังอาจแบ่งได้เป็น 2 ประเภท

ค่าเสียหายสำหรับความเสียหายต่อจิตใจ

          ในกรณีนี้เป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นกับจิตใจของตัวผู้เสียหายเองและอาจจะรวมถึงที่เกิดขึ้นกับบุคคลรอบข้างของผู้เสียหายด้วยในบางกรณี

ลักษณะที่สำคัญประการหนึ่งของค่าเสียหายสำหรับความเสียหายต่อจิตใจนี้ คือ ความเสียหายต่อจิตใจนั้นต้องเป็นผลสืบเนื่องมาจากความเสียหายต่อร่างกาย สุขภาพ หรืออนามัยอย่างใดอย่างหนึ่งด้วย ดังนั้น หากความเสียหายที่ผู้เสียหายได้รับคงมีแต่ความเสียหายต่อจิตใจเพียงอย่างเดียวโดยไม่เกิดความเสียหายด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นในด้านร่างกาย สุขภาพ หรืออนามัยด้วยแล้ว ผู้เสียหายคงจะไม่สามารถเรียกค่าเสียหายสำหรับความเสียหายต่อจิตใจในกรณีแบบนี้ได้

บางท่านอาจจะสงสัยว่ากรณีแบบไหนที่จะมีแต่ ความเสียหายต่อจิตใจ โดยที่ไม่ได้เป็นผลมาจากความเสียต่อร่างกาย สุขภาพ หรืออนามัยของผู้เสียหาย กรณีประเภทนี้ก็อาจเกิดขึ้นได้ในหลายลักษณะ แต่ตอนนี้เราลองกลับไปดูตัวอย่างกรณีแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือของนายชัยที่เกิดระเบิดขึ้น หากสมมติว่าขณะที่แบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือก้อนนี้เกิดระเบิดขึ้นในขณะที่นายชัยใส่ไว้ในโทรศัพท์มือถือของตนเองแล้วกำลังพกโทรศัพท์มือถือเครื่องนั้นอยู่ด้วยการเหน็บไว้ที่บริเวณเอว แรงระเบิดทำให้ซองโทรศัพท์มือถือฉีกขาดจนโทรศัพท์กระเด็นออกไป เสียงระเบิดดังสนั่นทำให้นายชัยตกใจกลัวจนตัวสั่นงันงกทั้งจากเสียงอันดังและความกลัวว่าอวัยวะส่วนใดในร่างกายที่ได้รับอันตรายจากการระเบิด แต่นอกจากนั้นนายชัยไม่ได้รับอันตรายต่อเนื้อตัวร่างกายอะไร

การที่ นายชัย ตกใจกลัวจนตัวสั่นงันงกในที่นี้จะเห็นได้ว่าไม่ได้เกิดจากการที่ชัยได้รับอันตรายบาดเจ็บร้ายแรงอย่างหนึ่งอย่างใด หากแต่เกิดจากเสียงระเบิดที่ดังลั่นขึ้น แม้อาจจะพอถือได้ว่านายชัยได้รับความเสียหายต่อจิตใจ แต่จะสังเกตเห็นได้ว่าความเสียหายต่อจิตใจในกรณีนี้ไม่ได้เกิดจากความเสียหายต่อร่างกาย สุขภาพ หรืออนามัยแต่ประการใด หากจะมีความเสียหายที่เป็นรูปธรรมต่อนายชัยก็คงเป็นเพียงความเสียหายต่อทรัพย์สินที่ โทรศัพท์มือถือ พังและ ซองโทรศัพท์มือถือ ฉีกขาดเท่านั้น ความเสียหายต่อจิตใจที่เป็นผลมาจากความเสียหายต่อทรัพย์สินนี้ไม่อยู่ในขอบเขตของความเสียหายต่อจิตใจที่กฎหมายว่าด้วยความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยกำหนดให้เรียกได้

แต่หากการที่แบตเตอรี่ระเบิดนั้นมีผลทำให้ นิ้วมือ ของนายชัยขาดไปด้วยไม่ว่าจะกี่นิ้วก็แล้วแต่ การที่นายชัยต้องเศร้าโศกเสียใจเพราะเหตุที่นิ้วมือขาดถือเป็นความเสียหายต่อจิตใจที่เป็นผลเนื่องมาจากความเสียหายต่อร่างกาย จึงถือว่าเป็นความเสียหายต่อจิตใจส่วนที่สามารถเรียกค่าเสียหายได้

ในกรณีปกติ ผู้ที่มีสิทธิเรียก ค่าเสียหายสำหรับความเสียหายต่อจิตใจ ได้จะได้แก่ตัวผู้เสียหายที่ได้รับความเสียหายจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยนั้น บุคคลอื่นแม้จะได้รับความเสียหายต่อจิตใจที่ต้องเศร้าโศกจากการที่เห็นผู้เสียหายนั้นทนทุกข์ทรมานเพราะผู้เสียหายเป็นญาติใกล้ชิดกับตนเองก็ไม่สามารถเรียกค่าเสียหายต่อจิตใจนี้ได้

กรณีบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ผู้เสียหายที่ได้รับความเสียหายจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยโดยตรงจะมีสิทธิเรียกร้อง ค่าเสียหายสำหรับความเสียหายต่อจิตใจ จะได้แก่กรณีที่ตัวผู้เสียหายโดยตรงนั้นถึงแก่ความตาย ในกรณีนี้ตัวผู้เสียหายย่อมไม่มีทางที่จะเกิดมี ความเสียหายต่อจิตใจ ได้อีกเพราะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ความเสียหายต่อจิตใจจะเกิดขึ้นกับบุคคลรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นสามีหรือภรรยา บุพการีหรือลูกของผู้เสียหายนั้น บุคคลรอบข้างเหล่านี้จึงมีสิทธิที่จะเรียก ค่าเสียหายสำหรับความเสียหายต่อจิตใจ ในกรณีนี้ได้

ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการลงโทษ

          ค่าสินไหมทดแทนประเภทนี้ถือว่าเป็นค่าสินไหมทดแทน ชนิด ใหม่ที่เกิดขึ้นในแวดวงกฎหมายของไทยเรา แต่เป็นแนวคิดที่ใช้กันมานานแล้วในต่างประเทศ

          หากจะเปรียบเทียบให้เห็นข้อแตกต่างระหว่าง ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการลงโทษ กับ ค่าสินไหมทดแทน ดั้งเดิมที่เราเคยมีเคยใช้กันอยู่ในระบบกฎหมายไทยก็คงจะไม่ใช่เรื่องยากนักที่จะทำความเข้าใจ เดิม หากเราจะมีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนอะไรก็แล้วแต่ ค่าสินไหมทดแทนนั้นต้องเป็นค่าสินไหมทดแทนสำหรับ ความเสียหาย ที่เกิดขึ้นกับตัวเราจริงๆ ไม่ว่าความเสียหายนั้นจะเป็นความเสียหายที่คิดคำนวณเป็นเงินได้หรือคำนวณเป็นเงินไม่ได้ก็ตาม

          ส่วน ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการลงโทษ นี้ เป็นค่าสินไหมทดแทนที่กฎหมาย ทบ เข้าไปเพิ่มเติมจากค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงๆ เช่น หากความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงอาจจะคิดเป็นเงินได้ 1,000,000 บาท ตามปกติเราย่อมจะมีสิทธิเรียกได้เฉพาะเงินหนึ่งล้านบาทนี้และศาลก็จะกำหนดค่าเสียหายให้มากกว่าหนึ่งล้านบาทนี้ไม่ได้ แต่ตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย ศาลอาจจะกำหนดค่าสินไหมทดแทนเพื่อการลงโทษทบเข้าไปเพิ่มให้จากหนึ่งล้านบาที่ผู้เสียหายมีสิทธิได้รับอยู่แล้วหากเข้าตามกรณีและเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด

          จำนวน ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการลงโทษ นี้จะเป็นเท่าใดแล้วแต่ว่าศาลจะเห็นสมควรกำหนดให้เป็นเท่าใดก็ได้ แต่สูงสุดจะต้องไม่เกินสองเท่าของ ค่าสินไหมทดแทนที่แท้จริง ดังนั้นหากค่าสินไหมทดแทนที่แท้จริงเท่ากับ 1,000,000 บาท ศาลก็กำหนดค่าสินไหมทดแทนเพื่อการลงโทษได้ไม่เกิน 2,000,000 บาท

          อย่างไรก็ตาม ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการลงโทษ นี้ไม่ใช่ค่าสินไหมทดแทนที่อยู่ๆ นึกอยากจะให้ก็ให้ แต่การจะกำหนดให้ค่าสินไหมทดแทนประเภทนี้ได้ต้องปรากฏข้อเท็จจริงตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดด้วย หลักเกณฑ์และเงื่อนไขดังกล่าวได้แก่

(ก)        ผู้ประกอบการได้ผลิต นำเข้า หรือขายสินค้าที่ไม่ปลอดภัยนั้นโดยตนเองรู้อยู่แล้วว่าสินค้าที่ตนเองผลิต นำเข้า หรือขายนั้นเป็นสินค้าที่ไม่ปลอดภัยที่อาจจะทำให้เกิดอันตรายแก่ผู้ซื้อหรือบุคคลอื่นได้ หรือ
(ข)        ผู้ประกอบการนั้นอาจจะไม่รู้ว่าสินค้าที่ตนเองผลิต นำเข้า หรือขายนั้นเป็นสินค้าที่ไม่ปลอดภัย แต่เป็นกรณีที่ ความไม่รู้ ของผู้ประกอบการนั้นเป็นเพราะ ความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ซึ่งถ้าหากผู้ประกอบการนั้นใช้ความระมัดระวังเพียงเล็กน้อยก็สามารถที่จะค้นหาหรือพบข้อมูลที่ทำให้รู้ได้ว่าสินค้าชนิดนั้นเป็นสินค้าที่ไม่ปลอดภัย เช่น มีข่าวลงในหน้าหนังสือพิมพ์แต่ไม่ได้สนใจติดตามดู หรือมีงานค้นคว้างานวิจัยที่เผยแพร่อยู่ในแวดวงการค้าหรืออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องอยู่แล้วที่จะแสดงให้เห็นว่าสินค้าชนิดนั้นอาจจะก่อให้เกิดอันตรายได้ เป็นต้น หรือ
(ค)        ขณะที่ผู้ประกอบการผลิต นำเข้า หรือขายสินค้าที่ไม่ปลอดภัยนั้นอาจจะไม่รู้ว่าสินค้านั้นเป็นสินค้าที่ไม่ปลอดภัยและการไม่รู้นั้นไม่ได้เกิดจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้ประกอบการด้วย เพราะผู้ประกอบการอาจจะศึกษาข้อมูลดูแล้วยังไม่ปรากฏมีรายงานว่าสินค้าที่ตนจะผลิต นำเข้า หรือขายนั้นเป็นสินค้าที่ไม่ปลอดภัย แต่ภายหลังจากที่มีการผลิต นำเข้า หรือขายสินค้าชนิดนั้นกลับปรากฏข้อมูลหรือข้อเท็จจริงขึ้นภายหลังว่าสินค้าชนิดนั้นอาจจะก่อให้เกิดอันตรายขึ้นได้ กรณีเช่นนี้ผู้ประกอบการก็จะต้องดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยนั้น แต่หากผู้ประกอบการที่รู้ข้อมูลหรือข้อเท็จจริงนั้นแล้วนิ่งเฉยไม่ทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อป้องกันความเสียหายจนเป็นเหตุให้สินค้านั้นเกิดอันตรายขึ้นมาจริงๆ เช่น อาจด้วยความเกรงกลัวจะเกิดการขาดทุนกับธุรกิจของตัวเอง เป็นต้น กรณีเช่นนี้อาจจะเป็นเหตุให้ศาลกำหนดค่าสินไหมทดแทนเพื่อการลงโทษให้ได้
ทั้งสามกรณีนี้หากปรากฏข้อเท็จจริงลักษณะหนึ่งลักษณะใดก็อาจเป็นเหตุให้ศาลสามารถกำหนดค่าสินไหมทดแทนเพื่อการลงโทษได้แล้ว

ส่วนเกณฑ์ในการกำหนดค่าสินไหมทดแทนเพื่อการลงโทษนี้ก็จะต้องพิจารณาจากหลายปัจจัยประกอบกัน เช่น ความเสียหายที่เกิดขึ้นมีความร้ายแรงมากน้อยเพียงใด อันตรายนั้นเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการรู้มานานแค่ไหนแล้วก่อนที่จะเกิดอันตรายขึ้นจริงๆ ผู้ประกอบการได้ทำอะไรบ้างเพื่อแก้ไขหรือป้องกันปัญหาที่เกิดขึ้น หรือแม้กระทั่งปัจจัยอื่น เช่น สถานะทางการเงินของผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น

ค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยนี้จึงอาจเรียกได้หลายกรณี ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถให้ความคุ้มครองแก่ผู้เสียหายให้ได้รับความเป็นธรรมมากขึ้นและในขณะเดียวกันก็จะทำให้ผู้ประกอบการต้องยับยั้งชั่งใจมากขึ้นและตรวจสอบให้ดีมากขึ้นว่าสินค้าที่ตนเองจะนำออกสู่ท้องตลาดนั้นจะก่อให้เกิดอันตรายมากน้อยเพียงใด ด้วยผลของการตรวจสอบและชั่งใจมากขึ้นนี้เองที่จะทำให้ผู้บริโภคได้เลือกหาสินค้าที่มีคุณภาพดีขึ้นและมีอันตรายน้อยลง สุดท้ายย่อมจะทำให้สวัสดิภาพของทุกๆ คนในสังคมดียิ่งขึ้นตามไปด้วย


ค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย ประกอบด้วย
·       ค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
·       ค่าเสียหายสำหรับความเสียหายต่อจิตใจ
·       ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการลงโทษ

ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการลงโทษ จะกำหนดให้ได้ในกรณีที่ผู้ประกอบการได้ผลิต นำเข้า หรือขายสินค้าที่ไม่ปลอดภัยนั้น
·       โดยตนเองรู้อยู่แล้วว่าสินค้าที่ตนเองผลิต นำเข้า หรือขายนั้นเป็นสินค้าที่ไม่ปลอดภัย
·       โดยไม่รู้เพราะความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง หรือ
·       ไม่ดำเนินการใดๆ ตามสมควรเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหาย

ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการลงโทษกำหนดให้ได้ไม่เกิน 2 เท่าของค่าสินไหมทดแทนที่แท้จริง



ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ความรับผิดของผู้ถือหุ้น หุ้นส่วน หรือบุคคลที่มีอำนาจควบคุมนิติบุคคล

ฮั้ว

บางครั้งก็ต้องยอม