ข้อยกเว้นของหลักฐานหรือ แบบเป็นหนังสือ


ในการฟ้องร้องดำเนินคดีแพ่ง หลักเกณฑ์ประการหนึ่งที่กฎหมายกำหนดบังคับไว้ซึ่งเราอาจจะคุ้นเคยเป็นอย่างดีแล้ว คือการที่กฎหมายกำหนดให้การฟ้องร้องดำเนินคดีตาม สัญญา บางประเภทต้องมีเอกสารหลักฐานที่เราเรียกว่า หลักฐานเป็นหนังสือ หรือ แบบ มาแสดงด้วย การไม่มีเอกสารหลักฐานดังกล่าวอาจจะมีผลให้ไม่สามารถฟ้องร้องบังคับคดีได้หรืออาจจะมีผลต่อความสมบูรณ์ของสัญญาที่ทำขึ้นแล้วแต่ว่าเป็นกรณีของสัญญาชนิดใด

การที่กฎหมายกำหนดเกี่ยวกับเอกสารหลักฐานดังกล่าวก็เพื่อให้เป็นที่แน่ชัดว่าได้มีการทำสัญญาที่จะนำมาฟ้องร้องกันจริงๆ และไม่ใช่เป็นเรื่องที่มากล่าวหากัน ลอยๆ เพราะในเรื่องต่างๆ เหล่านี้หากไม่มีเอกสารหลักฐานมาแสดงแล้วอาจจะพิสูจน์กันค่อนข้างยากว่าเนื้อหาสาระของข้อตกลงมีรายละเอียดอย่างไรบ้าง เมื่อเกิดมีปัญหาที่ต้องฟ้องร้องกันแล้วฝ่ายที่จะฟ้องก็จะอ้างว่ามีข้อตกลงตามที่ตัวเองจะใช้สิทธิเรียกร้องอยู่ ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งก็ย่อมจะต้องปฏิเสธว่าความจริงแล้วไม่มีข้อตกลงตามที่อีกฝ่ายอ้างอยู่ หรือถ้าข้อสัญญานั้นมีอยู่เนื้อหาสาระของข้อสัญญานั้นก็มีรายละเอียดที่แตกต่างไปจากที่อีกฝ่ายกล่าวอ้างเพื่อจะทำให้ตนไม่ต้องรับผิดตามที่อีกฝ่ายเรียกร้อง แทบทุกเรื่องฝ่ายที่ถูกเรียกร้องมักจะปฏิเสธในลักษณะทำนองนี้ กฎหมายจึงได้กำหนดเป็นหลักเกณฑ์พื้นฐานเพื่อป้องกันปัญหาต่างๆ เหล่านี้

สำหรับท่านที่ไม่คุ้นเคยกับ หลักฐานเป็นหนังสือ หรือ แบบ ที่กล่าวถึงข้างต้นก็ขอให้นึกถึงสัญญากู้ยืมเงินตั้งแต่ 2,000 บาทขึ้นไป สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ สัญญาเช่าซื้อ สัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ สัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ที่มีราคาตั้งแต่ 20,000 บาทขึ้นไป[1]  เป็นต้น สัญญาประเภทนี้จะเป็นประเภทที่กฎหมายกำหนดให้ต้องมี หลักฐานเป็นหนังสือ หรือต้องทำตาม แบบ ที่กำหนด ส่วนรายละเอียดของหลักฐานหรือแบบของสัญญาแต่ละประเภทคงจะอยู่นอกเหนือขอบเขตของหนังสือนี้ที่จะกล่าวถึงได้ทั้งหมด

ในทางปฏิบัติ ประชาชนจำนวนไม่น้อยไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจเหมือนที่เราอาจจะเข้าใจกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว ประชาชนผู้บริโภคเหล่านี้อาจจะไม่รู้หรือไม่ตระหนักถึงความสำคัญของการทำสัญญาให้อยู่ในรูปแบบตามที่กฎหมายกำหนดเพื่อประโยชน์ในการฟ้องร้องดำเนินคดีกรณีที่มีปัญหาขึ้นมา ทำให้การฟ้องร้องบังคับตามสิทธิที่จะพึงมีพึงได้ไม่สามารถทำได้ตามที่ควรจะเป็น สิทธิที่มีอยู่จึงแทบจะปราศจากความหมายไปอย่างสิ้นเชิง การมีสิทธิแทบจะไม่แตกต่างจากการไม่มีสิทธิอยู่แต่อย่างใด สาเหตุประการสำคัญของการ เสียสิทธิ ในกรณีแบบนี้ล้วนเกิดจาก ความไม่รู้ ของประชาชนผู้บริโภคที่เกี่ยวข้องเป็นสำคัญ ทำให้เป็นหนทางที่ประชาชนที่ด้อยโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคมอยู่แล้วถูกเอารัดเอาเปรียบจากคนอีกกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในสถานะที่ดีกว่า มีความพร้อมทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมที่เหนือกว่า หาประโยชน์ จากความไม่รู้ของประชาชนเหล่านี้

ด้วยเหตุดังกล่าวนี้เองทำให้กฎหมายวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคมุ่งที่จะแก้ไขปัญหาของการถูกเอาเปรียบจาก ความไม่รู้ เหล่านี้ โดยการกำหนดข้อยกเว้นไม่ให้นำบทบัญญัติที่กำหนดให้การทำสัญญาที่ต้องมี หลักฐานเป็นหนังสือ  ซึ่งต้องลงลายมือชื่อของฝ่ายที่ต้องรับผิดมาแสดงมาใช้บังคับกับกรณีที่ ผู้บริโภค เป็นผู้ฟ้องร้องบังคับกับ ผู้ประกอบธุรกิจ หากเป็นกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจเป็นผู้ที่ต้องการฟ้องร้องบังคับเอากับผู้บริโภค ผู้ประกอบธุรกิจยังคงต้องนำ หลักฐานเป็นหนังสือ มาแสดงเช่นเดิมซึ่งคงจะไม่น่าจะมีปัญหาแต่อย่างใด เพราะผู้ประกอบธุรกิจมักจะรู้ดีอยู่แล้วว่าในธุรกรรมที่ตนต้องทำเป็นอาชีพอยู่ทุกวันนั้นจะต้องทำขั้นตอนหรือมีอะไรบ้างที่ต้องดำเนินการเพื่อจะทำให้สิทธิของตนได้รับความคุ้มครอง

ข้อยกเว้นที่กฎหมายกำหนดไว้ที่กล่าวถึงนี้ใช้เฉพาะกรณีที่กฎหมายกำหนดให้สัญญาต้องมี หลักฐานเป็นหนังสือ มาแสดงเท่านั้น ส่วนกรณีที่กฎหมายกำหนด แบบ ไว้จะได้กล่าวถึงในช่วงต่อไป สัญญาที่ต้องมี หลักฐานเป็นหนังสือ ซึ่งตามปกติหมายถึงเอกสารอะไรก็ได้ที่แสดงให้เห็นว่าใครมีข้อตกลงกับใครบ้างและมีการลงลายมือชื่อของผู้ที่จะถูกฟ้องร้องไว้ เช่น สัญญากู้ยืมเงินที่มีจำนวนเกินกว่า 2,000 บาท สัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ที่มีราคาตั้งแต่ 20,000 บาทขึ้นไป เป็นต้น ดังนั้น หากสมมติว่า ชัย ซื้อตู้เย็นมาจากบริษัท เพาเวอร์เซล จำกัด ในราคา 30,000 บาท[2] ต่อมาตู้เย็นนั้นมีปัญหาความชำรุดบกพร่องหลังจากใช้ได้เพียงไม่กี่วัน ชัยเลยต้องการฟ้องบริษัท เพาเวอร์เซล จำกัด ในฐานะผู้ขายให้รับผิดชอบต่อความชำรุดบกพร่องของตู้เย็นที่ชัยซื้อมาจากบริษัทดังกล่าว ชัยสามารถฟ้องร้องบริษัทเพาเวอร์เซล จำกัด ได้โดยไม่ต้องนำหลักฐานเป็นหนังสือมาแสดง เนื่องจากว่าแม้ตู้เย็นดังกล่าวจะเป็นสังหาริมทรัพย์ที่มีราคาเกินกว่า 20,000 บาท แต่ก็เข้าตามข้อยกเว้นของกฎหมายวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคที่กำหนดให้ผู้บริโภคสามารถฟ้องร้องบังคับเอากับผู้ประกอบธุรกิจโดยไม่ต้องมีหลักฐานการทำสัญญาเป็นหนังสือมาแสดง

ส่วนที่กฎหมายกำหนดเกี่ยวกับ แบบ ของสัญญา เช่น กรณีของสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ หรือสัญญาเช่าซื้อ เป็นต้น ในกรณีปกติ หากมีการทำสัญญา แต่ไม่ได้มีการทำตามแบบที่กฎหมายกำหนดอาจจะมีผลทำให้สัญญาตกเป็น โมฆะ ผลจะทำให้ไม่สามารถบังคับหรืออ้างอิงอาศัยสิทธิจากสัญญาที่ไม่ได้ตามแบบและตกเป็นโมฆะเหล่านี้ได้เลย

กรณีทีได้มีการทำสัญญากันแล้วระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบธุรกิจ กฎหมายไม่ได้กำหนดให้ผู้บริโภคมีอำนาจฟ้องร้องได้ทันทีโดยไม่ต้องมี แบบ เหมือนกรณีของ หลักฐานเป็นหนังสือ เนื่องจากกรณีที่กฎหมายกำหนด แบบ นี้ค่อนข้างจะเป็นสัญญาที่มีความสำคัญ มีมูลค่ามากขึ้นและการไม่ทำให้ถูกต้องมีผลในทางกฎหมายที่แตกต่างกัน จึงได้กำหนดไว้แตกต่างจากกรณีของ หลักฐานเป็นหนังสือ บ้าง แต่โดยรวมแล้วก็มีผลให้สิทธิของผู้บริโภคได้รับความคุ้มครองที่มากขึ้น

ข้อแตกต่างที่สำคัญ คือ การใช้สิทธิของผู้บริโภคในกรณีสัญญาที่กฎหมายกำหนด แบบ นี้ต้องเป็นกรณีที่ผู้บริโภคได้ วางมัดจำ หรือ ชำระหนี้บางส่วน แล้ว หากมีการทำสัญญากันจริง แต่ผู้บริโภคยังไม่ได้วางมัดจำหรือชำระหนี้บางส่วนแล้ว ผู้บริโภคก็จะยังไม่สามารถบังคับให้ผู้ประกอบธุรกิจต้องดำเนินการตามที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ได้ การวางมัดจำหรือชำระหนี้บางส่วนนี้กฎหมายไม่ได้กำหนดว่าต้องเป็นจำนวนมากน้อยเท่าใด ดังนั้น ขอเพียงแต่มีการวางมัดจำหรือชำระหนี้บางส่วนบ้างก็สามารถใช้สิทธิที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ได้แล้ว

สิทธิของผู้บริโภคที่สามารถทำได้ในกรณีเหล่านี้ประการแรก คือ การบังคับให้ผู้ประกอบธุรกิจจัดทำสัญญาให้เป็นไปตามแบบที่กฎหมายกำหนด เพราะหากไม่มีการทำให้ถูกต้องตาม แบบ เราได้กล่าวไปแล้วว่าจะทำให้สัญญาระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบธุรกิจนั้นตกเป็น โมฆะ การให้สิทธิผู้บริโภคบังคับให้ผู้ประกอบธุรกิจไปทำสัญญาให้ถูกต้องตามแบบ จึงมีผลเป็นการเปิดโอกาสที่จะทำให้สัญญาที่เดิมควรจะตกเป็นโมฆะไปโดยผู้บริโภคไม่สามารถทำอะไรได้เลยกลับกลายเป็นสัญญาที่มีผลใช้บังคับกันได้เมื่อได้มีการทำให้ถูกต้องตาม แบบ ที่กฎหมายกำหนดแล้ว

สิทธิประการที่สองสำหรับกรณีสัญญาที่กฎหมายกำหนด แบบ นี้ คือ การบังคับให้ผู้ประกอบธุรกิจชำระหนี้เป็นการตอบแทน ผลของสิทธิประการที่สองนี้ค่อนข้างคล้ายคลึงกับกรณีของสัญญาที่กฎหมายกำหนด หลักฐานเป็นหนังสือ ที่เรากล่าวถึงกันไปแล้ว แต่การใช้สิทธิของผู้บริโภคที่จะบังคับผู้ประกอบธุรกิจได้จะต้องเป็นกรณีที่ผู้บริโภคไม่ได้ผิดนัดชำระหนี้ให้ผู้ประกอบธุรกิจด้วย เพราะหากผู้บริโภคผิดนัดชำระหนี้ ผู้ประกอบธุรกิจย่อมยกเป็นข้อต่อสู้ได้ว่าตนยังไม่มีหน้าที่ต้องชำระหนี้เป็นการตอบแทน การที่กฎหมายกำหนดไว้ดังกล่าวนี้ไม่เป็นการยกเว้นถึงขนาดที่จะให้ผู้บริโภคสามารถฟ้องร้องบังคับเอากับผู้ประกอบธุรกิจได้โดยไม่ต้องคำนึงว่าผู้บริโภคได้ปฏิบัติตามหน้าที่หรือชำระหนี้ของตนตามที่กำหนดในสัญญาแล้วหรือไม่ หากในสัญญากำหนดให้ผู้บริโภคต้องชำระหนี้หรือทำการอย่างหนึ่งอย่างใดก่อนที่จะมีสิทธิเรียกร้องให้ผู้ประกอบธุรกิจต้องชำระหนี้เป็นการตอบแทน ผู้บริโภคยังคงมีหนี้หรือหน้าที่ดังกล่าวอยู่และต้องปฏิบัติให้ครบถ้วนก่อนจึงจะมีสิทธิเรียกร้องต่อผู้ประกอบธุรกิจได้  

ในกรณีที่กฎหมายกำหนดให้ต้องมี หลักฐานเป็นหนังสือ หรือต้องทำตาม แบบ นี้ หากต้องมีการฟ้องร้องเป็นคดีกัน ตามปกติ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 กำหนดให้ต้องนำ หลักฐานเป็นหนังสือ หรือ แบบ ของสัญญามาแสดงด้วย หากต้องปฏิบัติตามที่กำหนดไว้ดังกล่าวนี้การใช้สิทธิของผู้บริโภคที่เรากล่าวถึงไปข้างต้นย่อมจะไม่สามารถทำได้ กฎหมายวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคจึงได้กำหนดยกเว้นไว้ให้ด้วยว่าในกรณีที่ผู้บริโภคฟ้องบังคับให้ผู้ประกอบธุรกิจชำระหนี้สำหรับกรณีสัญญาที่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือมาแสดง หรือการฟ้องบังคับให้จัดทำสัญญาให้ถูกต้องตามแบบหรือการให้ชำระหนี้ตอบแทนนี้ไม่ต้องนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 มาใช้ ทำให้ในการฟ้องร้องเพื่อบังคับตามสิทธิดังกล่าว ผู้บริโภคไม่ต้องใช้ หลักฐานเป็นหนังสือ หรือ แบบ ของสัญญามาใช้ในการพิสูจน์ความมีอยู่ของสัญญาเหล่านี้


กรณีสัญญาที่ต้องมี หลักฐานเป็นหนังสือ
·       ผู้บริโภคฟ้องบังคับผู้ประกอบธุรกิจได้โดยไม่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ

กรณีสัญญาที่ต้องมี แบบ
·       ผู้บริโภคที่ (ก) วางมัดจำ หรือ (ข) ชำระหนี้บางส่วนแล้ว มีสิทธิฟ้องบังคับผู้ประกอบธุรกิจให้
o   จัดทำสัญญาให้เป็นไปตามแบบ
o   ชำระหนี้เป็นการตอบแทน




[1]   นกรณีนี้ การฟ้องร้องคดีอาจใช้ หลักฐาน อื่นได้อีกไม่ว่าจะเป็นการ วางประจำ หรือ การชำระหนี้บางส่วน แต่ขอกล่าวถึงเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับเนื้อหาของ หลักฐานเป็นหนังสือ ที่กำลังกล่าวถึงอยู่นี้
[2]  ในกรณีนี้ก็เช่นเดียวกันที่ตามปกติอาจจะใช้การ วางประจำ หรือ ชำระหนี้ บางส่วนได้ แต่จะไม่ขอกล่าวถึงในที่นี้

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ความรับผิดของผู้ถือหุ้น หุ้นส่วน หรือบุคคลที่มีอำนาจควบคุมนิติบุคคล

ฮั้ว

บางครั้งก็ต้องยอม