ประกาศ โฆษณาและ คำรับรองของผู้ประกอบธุรกิจ
ไม่ทราบว่าท่านเคยมีประสบการณ์แบบว่าต้องการอยากได้บ้านที่เป็นเหมือนวิมานหลังน้อยหรือหลังใหญ่ตามอัตภาพของตนเองสักหลัง
พอตระเวนดูหมู่บ้านแล้วหมู่บ้านเล่าก็ถึงเวลาตกลงปลงใจจะใช้ชีวิต ณ
หมู่บ้านสักแห่งที่ดูแล้วน่าจะเป็นที่พักผ่อนแสนสงบ
และเมื่อมองดูจากป้ายโฆษณาขนาดใหญ่หน้าโครงการก็แสดงภาพสิ่งอำนวยความสะดวกที่เมื่อโครงการเสร็จจะทำให้สามารถใช้เวลาวันหยุดสุดสัปดาห์ได้โดยไม่ต้องออกไปไหนมากนัก
สามารถวิ่งออกกำลังกาย ว่ายน้ำในสระของสโมสรในหมู่บ้าน เล่นเทนนิส
หรือไม่เช่นนั้นก็พาครอบครัวไปปิกนิกนั่งเล่นในสวนสาธารณะภายในหมู่บ้าน เพราะดูแล้วจากภาพในแผ่นโฆษณาที่เราเห็นเมื่อสิ่งต่างๆ
ดำเนินการเสร็จน่าจะเป็นหมู่บ้านที่น่าอยู่มากแห่งหนึ่งเท่าที่กำลังเราจะสามารถหามาได้
เมื่อตัดสินใจแล้วเราก็จัดการทำสัญญากับเจ้าของโครงการซึ่งเมื่อดูจากชื่อบริษัทและผู้ถือหุ้นแล้วก็เป็นบริษัทขนาดใหญ่อาจจะอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยด้วยซ้ำไป
น่าจะมีความมั่นคงและน่าจะ “ไว้ใจได้”
พอตกลงใจเป็น “หนี้” และด้วยความเป็น “ลูกหนี้ชั้นดี”
เราก็จัดการนำเงินที่อาบเหงื่อต่างน้ำแลกมาไป “ประเคน” ให้ทุกๆ เดือนเป็น “เงินดาวน์” ที่ท่านเจ้าของโครงการได้ให้ความกรุณาให้เรา “ผ่อน” จ่ายได้โดยคาดการณ์ไว้ว่าเมื่อผ่อน “เงินดาวน์” ครบก็จะเป็นเวลาที่ “วิมาน”
หลังน้อยๆ ของเราสร้างเสร็จและพร้อมโอนได้พอดี
ทุกๆ
ครั้งที่มีเวลาเราก็จะแวะเวียนไปดู “วิมาน” หลังน้อยๆ ของเราว่าคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว เดือนที่สองผ่านไป “วิมาน” หลังน้อยเริ่มมีเสาโผล่มาให้เห็น
ด้วยความชื่นใจเราก็รีบนำเงินดาวน์ไปผ่อนต่อเจ้าของโครงการ เขาจะได้มีเงินมาทำหลังคาให้เราต่อ
พอเดือนที่สามผ่านไป เจ้าเสาสี่ห้าต้นที่เราเห็นก็ยังอยู่ดีมีสุขอยู่
แต่นอกจากนั้นสังเกตความแตกต่างไม่เห็น “ไม่เป็นไร” อาจจะกำลังทำรายละเอียดอยู่ที่เราไม่รู้ หรืออาจจะทำ “เฟส” อื่นอยู่ แล้วเราก็นำเงินดาวน์ไป “ส่งมอบ” ให้เพื่อรักษาความเป็น “ลูกหนี้ชั้นดี”
พอครบสิบสองเดือนที่เงินดาวน์ครบแล้ว
ความแตกต่างของโครงการยังไม่เปลี่ยนแปลงไปจากสิ่งที่เราเห็นเมื่อเดือนที่สอง
หากจะเปลี่ยนก็คงจะเป็น “สนิม”
ที่เริ่มขึ้นบนเสาที่ตั้งท้าแดดท้าฝนอยู่หลายเดือนแล้ว พอไปถามไถ่
เจ้าของโครงการก็มีข้ออ้างได้สารพัดเพื่อทำให้เรายอมผ่อนดาวน์มาโดยตลอด สุดท้าย “เหงื่อ” ที่ทำงานหาเงินดาวน์มาหมดไปหลายถังแล้ว
แต่บ้านก็ไม่ได้อยู่
บางคนอาจจะโชคดีหน่อยได้บ้านอยู่
แต่สิ่งที่เคยคิดเคยหวังว่าจะมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็น “สระว่ายน้ำ” “สนามเทนนิส” “สวนสาธารณะ” ไม่มีให้เห็น มีอย่างมากก็ที่รกๆ
ที่หญ้าขึ้นอยู่เต็มไปหมดแล้วก็เรียกบริเวณนั้นว่า “สวน” เพราะอย่างน้อยก็มี “ต้นหญ้า”
ขึ้น สามารถใช้พักผ่อนได้หากใครไม่กลัวว่าหญ้ามันจะคันหรือจะมีงูอาศัยอยู่
ลานดินก็มีอยู่หากคุณอยากเล่นเทนนิสก็เอาไม้มาตีสิ
แต่ต้องไปเก็บลูกตามพงหญ้าเอาเอง หรือสระว่ายน้ำก็มี
แต่ขึ้นมาอาจจะจำหน้าไม่ได้เพราะมีโคลนติดตามตัวไปหมด
ประสบการณ์แบบนี้เราพบเห็นบ่อยมากในช่วงที่เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจขึ้นในประเทศ
แทบจะเห็นได้ทั่วไปในโครงการส่วนใหญ่โดยเฉพาะใน “วิกฤตเศรษฐกิจ” ครั้งที่ผ่านมา เมื่อกลับไปดู “สัญญา” ที่ทำไว้ เวลาที่บ้านจะสร้างเสร็จก็ไม่ได้ระบุไว้อย่างชัดเจน
มีประมาณการอยู่บ้าง แต่ก็มีข้อความต่อว่าอาจจะขยายต่อไปได้
ส่วนข้อความที่กล่าวถึง “สระว่ายน้ำ” “สนามเทนนิส” “สวนสาธารณะ” พลิกหากี่รอบต่อกี่รอบก็ไม่เจอ
พอเราทวงถามก็ได้รับคำอธิบายว่าเราซื้อบ้านไม่ใช่หรือ บ้านก็สร้างเสร็จแล้ว
เข้าอยู่ได้แล้วนี่ ถ้าจะซื้อ “สระว่ายน้ำ” หรือ “สนามเทนนิส”
ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
หากเราต้องการซื้อเพียงแค่
“บ้าน”
เราคงจะไปหาซื้อที่ดินที่ไหนสักแห่งแล้วจ้างคนมาสร้างบ้านได้ไม่ยาก
แต่เหตุที่ทำให้เราหลายคนเสียเงินค่าบ้านหรือค่าที่ดินเมื่อคิดต่อตารางวาแพงกว่าที่ดินรอบๆ
เยอะ เป็นเพราะเราต้องการได้ “สังคม”
และ “สภาพความเป็นอยู่” ที่น่าอยู่และปลอดภัย
เมื่อมีปัญหากลับปรากฏว่าเจ้าของโครงการหลายแห่งแสดงความ “ไม่รับผิดชอบ” อย่างออกนอกหน้า แต่ด้วย “เล่ห์เหลี่ยม” ของข้อความในสัญญาทำให้เราไม่สามารถทำอะไรได้
ถึงวันนี้
เรามี “ทางออก” แล้วด้วยผลของกฎหมายวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค
ตามกฎหมายนี้
บรรดา “ประกาศ” “โฆษณา” “คำรับรอง” หรือ “การกระทำใดๆ”
ของผู้ประกอบธุรกิจที่ทำให้ผู้บริโภคที่เข้าทำสัญญาด้วยเข้าใจไปว่าผู้ประกอบธุรกิจจะ
“มอบให้” หรือ “จัดหา” ให้ไม่ว่าของที่บอกว่าจะมอบให้หรือจัดหามาให้นี้จะเป็นสิ่งใด
เป็นบริการประเภทใด เป็นสาธารณูปโภคอย่างใด หรือจะดำเนินการใดๆ
ก็ตามเพื่อเป็นการตอบแทนที่ผู้บริโภคได้ตกลงเข้าทำสัญญากับผู้ประกอบธุรกิจ
หรือแม้แต่ได้ทำสัญญาไปแล้วและผู้ประกอบธุรกิจได้ตกลงว่าจะมอบหรือให้สิ่งใดเป็นการเพิ่มเติมถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของ
“สัญญา”
ที่ทำขึ้นระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบธุรกิจ
เมื่อถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของ
“สัญญา” แล้ว
หากภายหลังจากที่เราตกลงทำสัญญากับผู้ประกอบธุรกิจแล้ว
ไม่ได้มีการก่อสร้างหรือดำเนินการตามที่เคยโฆษณาหรือชักชวนเราโดยเฉพาะตามที่ปรากฏในแผ่นพับ
ใบปลิวหรือคำโฆษณาต่างๆ
เราย่อมสามารถบังคับให้ผู้ประกอบธุรกิจต้องดำเนินการให้ตามที่เคยบอกว่าจะดำเนินการให้เรา
แม้ว่าการบอกนั้นจะไม่มีที่ไหนเขียนไว้ในสัญญาที่เราลงชื่อไว้ก็ตาม
เพราะโดยปกติผู้ประกอบธุรกิจมักจะหาทางป้องกันตัวเองด้วยการไม่บอกอะไรที่ผูกมัดตนเองเมื่อกล่าวถึงสิ่งที่ตนเองต้องปฏิบัติหรือต้องทำให้
แต่เมื่อถึงช่วงที่บอกว่าผู้บริโภคต้องปฏิบัติหรือต้องชำระเงินตามเงื่อนไขแบบใดจะเขียนไว้อย่างชัดเจนพร้อมกับมีบทลงโทษไว้ด้วยว่าถ้าผิดนัดจะถูกปรับหรือมีผลร้ายอย่างไรบ้าง
กรณีจะคล้ายๆ
กับที่เราได้กล่าวถึงไปแล้วเมื่อตอนที่เกี่ยวกับการพิสูจน์ “สัญญา” ระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบธุรกิจที่กฎหมายวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคกำหนดให้ผู้บริโภคอาจจะนำพยานบุคคลหรือหลักฐานอะไรก็ได้ที่สามารถนำมาแสดงให้เห็นถึงสัญญาดังกล่าวโดยไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา 94 ที่จะห้ามการนำสืบว่าต้องมี “หลักฐานเป็นหนังสือ” หรือมี “แบบ” มาแสดง แม้ว่าในมาตราดังกล่าวของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งจะกำหนดด้วยว่าจะนำสืบว่ามีข้อตกลงอื่นนอกเหนือจากที่ปรากฏใน
“หลักฐานเป็นหนังสือ” หรือ “แบบ”
หรือเป็นการเปลี่ยนแปลงข้อความในเอกสารดังกล่าวไม่ได้ก็ตาม
บทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งดังกล่าวเมื่อนำมาใช้กับกรณีที่เราได้กล่าวถึงไปนี้ย่อมทำให้ตามปกติผู้บริโภคไม่สามารถนำพยานหลักฐานมาแสดงได้ว่าผู้ประกอบธุรกิจได้เคยตกลงว่าจะสร้าง
“สระว่ายน้ำ” “สนามเทนนิส” หรือ “สวนสาธารณะ” ให้
เพราะสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ผู้ประกอบธุรกิจส่วนใหญ่จะไม่ได้รู้น้อยถึงขนาดที่จะนำไปใส่ไว้ในสัญญาที่ทำกับผู้บริโภค
สิ่งต่างๆ เหล่านี้จึงอาจจะลอยอยู่ที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่สัญญาที่ทำกับผู้บริโภค
อาจจะอยู่ในโฆษณาทางโทรทัศน์ที่มีแต่คลื่นอยู่ในอากาศเสียด้วยซ้ำ
กฎหมายวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคจึงได้กำหนดยกเว้นให้ผู้บริโภคสามารถนำสืบพยานบุคคลหรือพยานหลักฐานอื่นใดที่เกี่ยวกับข้อตกลงที่ไม่ปรากฏเป็นตัวหนังสืออยู่ในสัญญาที่ทำกับผู้ประกอบธุรกิจได้
โดยไม่อยู่ภายใต้ข้อจำกัดของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 ดังกล่าว
นับแต่นี้คงต้องเก็บแผ่นพับ
ใบปลิวหรืออาจจะต้องอัด “โฆษณา” โทรทัศน์ไว้ให้หมด ต่อไปอาจจะมีประโยชน์ก็ได้
ประกาศโฆษณาและข้อตกลงเพิ่มเติม
·
ประกาศ โฆษณา
คำรับรองหรือการกระทำของผู้ประกอบธุรกิจ
o ที่ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจได้ในขณะทำสัญญา
o ว่าผู้ประกอบธุรกิจตกลงจะมอบให้หรือจัดหาให้ซึ่ง
ก. สิ่งของ
ข. บริการ
ค. สาธารณูปโภค
ง. ดำเนินการใดๆ
o
ให้แก่ผู้บริโภคเพื่อตอบแทนที่ผู้บริโภคเข้าทำสัญญา
หรือ
· ข้อตกลงที่ผู้ประกอบธุรกิจจะให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้บริโภคเพิ่มเติมจากที่ได้ทำสัญญาไว้
·
ให้ถือว่าทั้งบรรดาประกาศโฆษณาและข้อตกลงนั้นเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบธุรกิจ
การนำสืบถึงประกาศโฆษณาหรือข้อตกลงเพิ่มเติม
·
สามารถใช้พยานบุคคลหรือพยานหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องได้
·
ไม่ว่าเป็นสัญญาที่ต้องมี “หลักฐานเป็นหนังสือ” หรือต้องทำเป็น “หนังสือ” หรือไม่ก็ตาม
|
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น