ผู้ประกอบการไม่ต้องรับผิดกรณีใด
เราได้เคยพูดกันมาแล้วว่าความรับผิดของ “ผู้ประกอบการ”
ต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยนี้เราเรียกว่าเป็น “ความรับผิดอย่างเคร่งครัด (Strict
liability)” เมื่อเป็นแบบเคร่งครัดโดยไม่ได้เป็น “ความรับผิดอย่างเด็ดขาด”
ว่าต้องรับผิดในทุกกรณีอย่างไม่มีเงื่อนไขก็จะต้องมีกรณียกเว้นที่จะทำให้ผู้ประกอบการเหล่านั้นไม่ต้องรับผิดได้หากเป็นไปตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่กำหนด
ในภาพรวมของบรรดากรณีต่างๆ
ที่ผู้ประกอบการไม่ต้องรับผิดนี้อาจกล่าวได้ว่า
หากกำหนดให้ผู้ประกอบการต้องรับผิดในกรณีเหล่านี้จะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แต่อย่างใดในการป้องกันหรือบำบัดอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นจากตัวสินค้านี้ได้
เพราะในบรรดากรณีเหล่านี้เป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของผู้ประกอบการหรือเป็นกรณีที่ผู้ประกอบการไม่สามารถปรับปรุงแก้ไขหรือพัฒนาสินค้าให้มีอันตรายน้อยลงและมีความปลอดภัยมากขึ้นได้อีกแล้ว
ในทางตรงกันข้าม
การกำหนดให้ผู้ประกอบการต้องรับผิดในกรณีเหล่านี้และทำให้ผู้ใช้หรือผู้บริโภคสินค้าไม่มีความเสี่ยงภัยใดๆ
หลงเหลืออยู่อีกจะมีผลทำให้ตัวผู้ใช้หรือผู้บริโภคสินค้าเองขาดความระมัดระวังที่ตามปกติสามารถทำได้ในการใช้หรือบริโภคสินค้าต่างๆ
เพราะผู้บริโภครู้ว่าหากเกิดความเสี่ยงภัยอย่างใดขึ้นสามารถไปเรียกร้องเอาจากผู้ประกอบการได้
ทั้งๆ ที่อันตรายเหล่านี้ผู้ใช้หรือผู้บริโภคสามารถป้องกันหรือบำบัดได้ด้วยตัวเอง ในแง่ของประโยชน์ของสังคมโดยรวม
การกำหนดให้ผู้ใช้หรือผู้บริโภคต้องรับผิดชอบในกรณีที่อยู่ในวิสัยที่ตนเองสามารถดูแลสวัสดิภาพของตนได้เองย่อมเป็นการดีกว่าเพราะการป้องกันหรือบำบัดโดยผู้ใช้หรือผู้บริโภคย่อมจะเกิดภาระหรือค่าใช้จ่ายน้อยกว่าหรืออาจจะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ
เลยก็ได้ เพียงแต่ปฏิบัติตามคำแนะนำหรือคำเตือนที่ได้ระบุให้ไว้อยู่แล้วก็สามารถหลีกเลี่ยงอันตรายได้
หากให้ผู้ประกอบการต้องรับผิดชอบในกรณีเหล่านี้ด้วย
ผู้ประกอบการก็จะต้องหา “วิธีการ” หรือ “มาตรการ” อย่างหนึ่งอย่างใดมาคอยดูแลว่าได้มีการใช้ การปฏิบัติ
หรือการระมัดระวังคำเตือนหรือคำแนะนำต่างๆ อย่างถูกต้อง
ไม่ว่าวิธีการหรือมาตรการเหล่านั้นจะมีรูปแบบอย่างไรก็ตามโดยสภาพย่อมจะเกิดภาระและเสียค่าใช้จ่ายมากกว่าการให้ผู้ใช้หรือผู้บริโภคใช้ความระมัดระวังที่สามารถทำได้อยู่แล้วด้วยตัวเองอย่างแน่นอน
การให้ผู้ประกอบการรับผิดในกรณีเหล่านี้อาจจะฟังดูเหมือนดีที่ให้ผู้ที่มีสถานะและความพร้อมทางเศรษฐกิจมากกว่าเป็นผู้รับภาระ
แต่ในความเป็นจริงจะเกิดเป็นภาระต่อสังคมโดยรวมด้วย เพราะภาระและค่าใช้จ่ายซึ่งจริงๆ
ไม่ควรต้องเสียเหล่านี้ย่อมจะถูกผลักภาระและแฝงอยู่ใน “ต้นทุน” ของสินค้าและอยู่ในราคาของสินค้าที่ขายให้แก่ผู้บริโภคโดยทั่วไปด้วย
สุดท้ายจึงมีผลเท่ากับว่าผู้ใช้หรือผู้บริโภคคนอื่นที่ได้ใช้ความระมัดระวังดูแลสวัสดิภาพของตนเองอย่างที่ควรจะเป็นต้องมาร่วมแบกรับภาระที่เกิดขึ้นจากการไม่ใช้ความระมัดระวังที่สามารถใช้ได้ของผู้ใช้หรือผู้บริโภคกลุ่มนี้ไปด้วย
กรณียกเว้นที่ผู้ประกอบการไม่ต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยมีด้วยกัน
3 กรณี
กรณีแรก สินค้านั้นมิได้เป็นสินค้าที่ไม่ปลอดภัย
หากจะพูดกลับด้านของประโยคนี้ก็คงจะเป็นที่เข้าใจได้ว่า “สินค้านั้นเป็นสินค้าที่ปลอดภัย”
ตามที่กฎหมายต้องการแล้ว เมื่อเป็นสินค้าที่ถือได้ว่า “ปลอดภัย” อย่างที่ควรจะเป็นก็ไม่ควรให้ผู้ประกอบการต้องมารับผิดในกรณีเหล่านี้อีก
เพราะแม้ผู้ประกอบการจะรับผิดชอบในกรณีนี้ด้วยก็ไม่สามารถปรับปรุงหรือพัฒนาสินค้าให้ดีหรือปลอดภัยไปกว่าที่เป็นอยู่ได้อีกแล้ว
สินค้าที่จะถือได้ว่า
“ไม่เป็น”
สินค้าที่ไม่ปลอดภัยนั้นจะต้องเป็นสินค้าที่ได้รับการผลิตขึ้นโดยถูกต้องและมีคุณสมบัติครบถ้วนตาม
“แบบ” ที่ออกไว้ทุกประการ
หรือหากจะมีส่วนที่ไม่ได้เป็นไปตาม “แบบ” ส่วนดังกล่าวจะต้องเป็นส่วนที่ไม่มีผลต่อ “อันตราย” ที่เกิดขึ้น สำหรับตัว “แบบ”
ของสินค้าเองก็จะต้องไม่มีแบบส่วนใดที่ถูกออกแบบไว้อย่างไม่เหมาะสมซึ่งจะมีผลก่อให้เกิดอันตรายได้
หรือหากจะมีอันตรายก็ได้มีการเตือนไว้อย่างชัดเจนและได้มีการระบุกำหนดวิธีการใช้หรือเก็บรักษาสินค้านั้นเพื่อป้องกันอันตรายอย่างเหมาะสมด้วย
กรณีที่สอง ผู้เสียหายได้รู้อยู่แล้วว่าสินค้านั้นเป็นสินค้าที่ไม่ปลอดภัย
สำหรับกรณีนี้ผู้ประกอบการอาจจะได้ให้ “คำเตือน” เกี่ยวกับอันตรายที่จะเกิดขึ้นจากการใช้หรือบริโภคสินค้านั้นแล้ว
แต่ผู้บริโภคได้ใช้ความคิดและวิจารณญาณของตนเองแล้วเห็นว่าคุณประโยชน์ที่ตนเองจะได้รับจากการใช้หรือบริโภคสินค้านั้นมีมากกว่าอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น
หรือ “โอกาส”
ที่จะเกิดอันตรายนั้นมีน้อยจนกระทั่งคุ้มค่าที่จะลองเสี่ยงภัยดู
เมื่อผู้บริโภครู้ถึง
“อันตราย”
ที่อาจจะเกิดขึ้นการใช้หรือบริโภคสินค้านั้นจึงเป็นเสมือนการที่ผู้บริโภค “ยินยอม” ที่จะรับภาระความเสี่ยงภัยที่จะเกิดขึ้น
ดังนั้น
เมื่อผู้บริโภคให้การยินยอมเองแล้วก็ย่อมไม่มีเหตุที่จะต้องให้ผู้ประกอบการต้องเข้ามารับภาระความรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นอีก
ในกรณีเหล่านี้อาจจะเกิดขึ้นได้มากเช่นกับสินค้าประเภทยาที่อาจจะมีอาการหรือผลข้างเคียงนอกเหนือจากผลในการรักษาที่เราต้องการจากการใช้ยานั้น
อันตรายเหล่านี้อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นกับผู้ที่ใช้ยาหรือสินค้าลักษณะนี้ทุกคน
แต่อาจจะเกิดขึ้นกับคนบางลักษณะหรือบางประเภทเท่านั้น
การที่จะประเมินความเสี่ยงของอันตรายที่จะเกิดขึ้นจึงต้องพิจารณาเป็นรายกรณีไปว่าแต่ละรายสมควรจะใช้ยาหรือสินค้าลักษณะนี้หรือไม่
การประเมินดังกล่าวย่อมอยู่นอกเหนือวิสัยหรือความสามารถของผู้ประกอบการได้ว่าผู้ใช้หรือผู้บริโภคแต่ละรายสมควรจะใช้สินค้านั้นหรือไม่
สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องทำในกรณีเหล่านี้คือการให้ข้อมูลและคำเตือนแก่ผู้ใช้หรือผู้บริโภคให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
กรณีที่สาม ความเสียหายเกิดจากการใช้หรือเก็บรักษาไม่ถูกต้อง
เป็นอีกกรณีหนึ่งที่สาเหตุที่ทำให้สินค้าเกิดมีอันตรายขึ้นมาเป็นเพราะตัวผู้ใช้หรือบริโภคสินค้านั้นเองที่ไม่ได้ปฏิบัติตามวิธีใช้
วิธีเก็บรักษา คำเตือนหรือข้อมูลต่างๆ ที่ผู้ประกอบการได้ให้ไว้สำหรับสินค้านั้น
คนที่ “บกพร่อง” จึงเป็นผู้ใช้หรือผู้บริโภคเอง
แต่ว่าการที่จะทำให้ผู้ประกอบการไม่ต้องรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นด้วยข้ออ้างนี้จะต้องเป็นกรณีที่คำเตือน
วิธีการหรือข้อมูลที่ผู้ประกอบการให้เกี่ยวกับตัวสินค้านั้นมีความชัดเจนและถูกต้องตามสมควรด้วย
หากคำเตือน
วิธีการหรือข้อมูลเหล่านั้นไม่ชัดเจนหรือไม่ถูกต้องผู้ใช้หรือผู้บริโภคย่อมไม่สามารถปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้องเพื่อที่จะป้องกันหรือหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดอันตรายขึ้นมา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น