ข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม
“ความได้เปรียบเสียเปรียบ” ในการทำสัญญานั้นเป็นเรื่องที่เกิดเป็นปกติ เพราะคู่สัญญาแต่ละฝ่ายย่อมมีอำนาจต่อรองที่มากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่สถานการณ์ของคู่สัญญาแต่ละฝ่ายและแต่ละคู่
แม้แต่ในกรณีของคู่สัญญาเดียวกัน อำนาจต่อรองอาจจะเปลี่ยนแปลงไปได้ตามสถานการณ์
ขึ้นอยู่กับว่าในแต่ละคราวของการทำสัญญานั้น คู่สัญญาแต่ละฝ่ายมี “ความจำเป็น” ที่จะต้องเข้าทำสัญญากับอีกฝ่ายหนึ่งมากน้อยเพียงใด
หากคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งมีความจำเป็นที่จะต้องเข้าทำสัญญากับอีกฝ่ายหนึ่งมาก
แต่ในขณะที่คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งไม่มีความจำเป็นในลักษณะเดียวกัน การจะเข้าทำหรือไม่เข้าทำสัญญานั้นไม่กระทบต่อการดำเนินการตามปกติของตน
คู่สัญญาฝ่ายที่ไม่จำเป็นต้องเข้าทำสัญญานั้นย่อมจะมีอำนาจต่อรองเหนือกว่าอีกฝ่ายหนึ่งมากและมีโอกาสที่จะต่อรองให้ได้รับข้อกำหนดและเงื่อนไขของสัญญาที่เป็นประโยชน์แก่ตนได้มาก
ในทางกลับกัน
คู่สัญญาฝ่ายที่มีความจำเป็นต้องเข้าทำสัญญานั้นย่อมจะมีอำนาจต่อรองน้อยและมักจะต้องยอมรับข้อกำหนดและเงื่อนไขหลายประการที่อาจจะทำให้เกิดภาระหน้าที่ได้มากมาย
“ความจำเป็น” ในการเข้าทำสัญญาดังกล่าวส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับ “ทางเลือก” ที่แต่ละฝ่ายมีอยู่ ฝ่ายที่มี “ทางเลือก” น้อยกว่าย่อมมีอำนาจต่อรองน้อยกว่าฝ่ายที่มีทางเลือกมาก
เพราะฝ่ายที่มีทางเลือกอยู่มากย่อมจะเลือกไปทำสัญญากับ “ทางเลือก” ใดก็ได้ที่จะทำให้ตนได้รับประโยชน์มากกว่า ส่วนฝ่ายที่มี “ทางเลือก” น้อยนั้นโดยสภาพย่อมถูกบังคับให้เลือกแต่เฉพาะในระหว่างหนทางที่มีอยู่ไม่มากนั้น
หากเราพิจารณา “จำนวน” ระหว่าง “ผู้ประกอบธุรกิจหรือวิชาชีพ” กับ “ผู้บริโภค” แล้วย่อมจะเห็นได้ไม่ยากว่าผู้ประกอบธุรกิจหรือวิชาชีพย่อมต้องมีจำนวนน้อยกว่าผู้บริโภคเป็นธรรมดา
เพราะมิฉะนั้นแล้วคงจะไม่มี “ลูกค้า”
ที่จะมาซื้อสินค้าหรือบริการได้เพียงพอ
ทำให้ผู้ประกอบธุรกิจหรือวิชาชีพย่อมมีโอกาสเลือกมากกว่าว่าจะทำสัญญากับผู้บริโภครายใดก็ได้
แต่ในขณะที่ผู้บริโภคต้องเลือกแต่เฉพาะในระหว่างจำนวนผู้ประกอบธุรกิจหรือวิชาชีพที่มีอยู่ไม่มากนัก
ในบางธุรกิจหรืออุตสาหกรรมอาจจะมีอยู่เพียงหนึ่งหรือสองรายเสียด้วยซ้ำไป
ทำให้ผู้ประกอบธุรกิจหรือวิชาชีพที่มีทางเลือกมากกว่านี้ย่อมมีอำนาจต่อรองมากกว่าตามไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ด้วยอำนาจต่อรองที่แตกต่างกันมากนี้เองย่อมทำให้เกิด
“ความได้เปรียบเสียเปรียบ” ในการทำสัญญา
เพราะแม้แต่การทำสัญญาในระหว่างผู้ประกอบธุรกิจด้วยกันเองที่ความแตกต่างระหว่างอำนาจต่อรองของแต่ละฝ่ายมีช่องว่างที่ไม่มากเหมือนเช่นกรณีของผู้ประกอบธุรกิจกับผู้บริโภคก็ยังคงมี
“ความได้เปรียบเสียเปรียบ”
เกิดขึ้นแทบทุกสัญญา ขึ้นอยู่กับ “ทักษะในการเจรจา” “ความรู้” “ประสบการณ์ในการทำสัญญา” “สภาพทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมในขณะทำสัญญา” และปัจจัยอื่นๆ อีกมากมาย การขจัด “ความได้เปรียบเสียเปรียบ” ในการทำสัญญาจึงแทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไม่ได้ แม้เราจะกล่าวถึง “ความได้เปรียบ” และ “ความเสียเปรียบ” แต่ในการทำสัญญาระหว่าง “ผู้ประกอบธุรกิจหรือวิชาชีพ” กับ “ผู้บริโภค” นั้น
ความได้เปรียบมักจะตกอยู่กับผู้ประกอบธุรกิจหรือวิชาชีพ
ส่วนความเสียเปรียบมักจะตกอยู่กับผู้บริโภคเสียมากกว่า
“ความได้เปรียบ” ดังกล่าวนั้นอาจจะมองได้หลายแง่มุม
อาจจะมองจาก “ผลประโยชน์”
ที่แต่ละฝ่ายได้รับเมื่อเทียบกับ “ผลประโยชน์” ของอีกฝ่ายหนึ่งก็ได้ แต่ในแง่ของกฎหมายที่จะเข้าไปควบคุม “ข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม” นี้จะมอง “ความได้เปรียบ” ในแง่ของ “หน้าที่ที่คู่สัญญาต้องปฏิบัติหรือภาระที่จะเกิดจากการทำสัญญา” ทุกสัญญาที่ทำขึ้นย่อมต้องมีฝ่ายหนึ่งที่มีหน้าที่ต้องปฏิบัติหรือเกิดภาระอย่างแน่นอน
เพราะมิฉะนั้นอีกฝ่ายหนึ่งย่อมไม่มีทางที่จะเกิด “สิทธิ” ได้ แต่ว่าหน้าที่หรือภาระที่จะทำให้ถือเป็น “ความได้เปรียบ” นี้จะต้องเป็นหน้าที่หรือภาระที่ “เกินกว่าที่วิญญูชนจะพึงคาดหมายได้ตามปกติ” หรืออาจจะกล่าวได้ง่าย ๆ ว่าเป็นหน้าที่หรือภาระที่คนโดยทั่วๆ
ไปไม่คิดว่าควรจะเป็นหน้าที่หรือภาระที่จะเกิดขึ้นจากการทำสัญญาลักษณะนั้น
หากเป็นหน้าที่หรือภาระโดยทั่วไปที่มักจะเกิดขึ้นหรือคาดหมายได้ว่าจะเกิดขึ้นย่อมไม่ถือเป็นข้อตกลงที่ได้เปรียบ
ในกฎหมายได้ให้ตัวอย่างของข้อตกลงบางประเภทที่แสดงให้เห็นถึง “ความได้เปรียบ” ในการเข้าทำสัญญาไว้ด้วยดังต่อไปนี้
(๑)
ข้อตกลงยกเว้นหรือจำกัดความรับผิดที่เกิดจากการผิดสัญญา
(๒)
ข้อตกลงให้ต้องรับผิดหรือรับภาระมากกว่าที่กฎหมายกำหนด
(๓)
ข้อตกลงให้สัญญาสิ้นสุดลงโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
หรือให้สิทธิบอกเลิกสัญญาได้โดยอีกฝ่ายหนึ่งมิได้ผิดสัญญาในข้อสาระสำคัญ
(๔)
ข้อตกลงให้สิทธิที่จะไม่ปฏิบัติตามสัญญาข้อหนึ่งข้อใด
หรือปฏิบัติตามสัญญาในระยะเวลาที่ล่าช้าได้โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
(๕)
ข้อตกลงให้สิทธิคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งเรียกร้องหรือกำหนดให้อีกฝ่ายหนึ่งต้องรับภาระเพิ่มขึ้นมากกว่าภาระที่เป็นอยู่ในเวลาทำสัญญา
(๖)
ข้อตกลงในสัญญาขายฝากที่ผู้ซื้อฝากกำหนดราคาสินไถ่สูงกว่าราคาขายบวกอัตราดอกเบี้ยเกินกว่าร้อยละสิบห้าต่อปี
(๗)
ข้อตกลงในสัญญาเช่าซื้อที่กำหนดราคาค่าเช่าซื้อ
หรือกำหนดให้ผู้เช่าซื้อต้องรับภาระสูงเกินกว่าที่ควร
(๘)
ข้อตกลงในสัญญาบัตรเครดิตที่กำหนดให้ผู้บริโภคต้องชำระดอกเบี้ย
เบี้ยปรับ ค่าใช้จ่ายหรือประโยชน์อื่นใดสูงเกินกว่าที่ควรในกรณีที่ผิดนัดหรือที่เกี่ยวเนื่องกับการผิดนัดชำระหนี้
(๙)
ข้อตกลงที่กำหนดวิธีคิดดอกเบี้ยทบต้นที่ทำให้ผู้บริโภคต้องรับภาระสูงเกินกว่าที่ควร
กฎหมายเองก็ตระหนักถึงลักษณะของ “ความได้เปรียบเสียเปรียบ”
ในการทำสัญญาที่เกิดขึ้นเป็นปกติ กฎหมายจึงไม่ได้ห้ามมิให้ทำสัญญาที่มีลักษณะของ “ความได้เปรียบเสียเปรียบ” แบบ “เด็ดขาด” เพราะกฎหมายที่กำหนดในลักษณะดังกล่าวย่อมเป็นกฎหมายที่ขัดต่อความจริงและธรรมชาติของการทำสัญญาที่ยากต่อการจะบังคับให้เป็นผลได้
สิ่งที่กฎหมายเข้าไปควบคุมจึงเป็นแต่เพียงส่วนของข้อตกลงในสัญญาที่ทำให้ผู้ประกอบธุรกิจการค้า
หรือวิชาชีพได้เปรียบคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง “เกินสมควร”
ผลของการทำข้อตกลงที่ทำให้คู่สัญญาฝ่ายหนึ่ง
“ได้เปรียบเกินสมควร”
ทำให้ข้อตกลงเหล่านั้นกลายเป็น “ข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม”
ข้อตกลงเหล่านั้นจะ “มีผลบังคับได้เพียงเท่าที่เป็นธรรมและพอสมควรแก่กรณี” เท่านั้น แต่การจะบอกได้ว่าข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมจะมีผลบังคับขนาดไหนจึงจะเรียกได้ว่าเป็นธรรมแล้วและพอสมควรแก่กรณีแล้วจะต้องดูจากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในแต่ละกรณีไป
เพราะคู่สัญญาที่ต่างกัน ลักษณะของสัญญาที่ต่างกัน และสถานการณ์แวดล้อมที่ต่างกันย่อมจะทำให้ผลของการพิจารณาแตกต่างกันออกไปด้วย
นอกจากนั้น เนื้อความของข้อสัญญาย่อมเปลี่ยนแปลงไปได้เสมอจนเกินกว่าจะกำหนดลักษณะในรายละเอียดไว้ในกฎหมายได้
เพราะเมื่อใดก็ตามที่กำหนดรายละเอียดไว้ในกฎหมาย
บุคคลที่เกี่ยวข้องย่อมจะหาทางปรับเปลี่ยนเนื้อความของสัญญาให้แตกต่างออกไปเพื่อพยายามทำให้รู้สึกว่าสัญญาของตนไม่ได้มีเนื้อความของข้อตกลงที่กฎหมายได้ห้ามไว้
ทั้งๆ ที่ผลกระทบที่เกิดขึ้นอาจจะไม่แตกต่างกันมากนักกับข้อตกลงที่กฎหมายกำหนดรายละเอียดไว้
ในการพิจารณาถึงความเป็นธรรมและความพอสมควรนี้
กฎหมายกำหนดแนวทางกว้างๆ ที่จะต้องคำนึงถึงไว้หลายประการ เช่น ความสุจริต อำนาจต่อรอง
ฐานะทางเศรษฐกิจ ความรู้ความเข้าใจ ความสันทัดจัดเจน ความคาดหมาย แนวทางที่เคยปฏิบัติ
ทางเลือกอย่างอื่น ทางได้เสียทุกอย่างของคู่สัญญาตามสภาพที่เป็นจริง ปกติประเพณีของสัญญาชนิดนั้น
เวลาและสถานที่ในการทำสัญญาหรือในการปฏิบัติตามสัญญา เป็นต้น
ปัจจัยเช่นในเรื่องของเวลาในทำสัญญาก็ถือว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญประการหนึ่ง
และมีผลต่อการพิจารณาถึงความเป็นธรรมและความพอสมควรของข้อสัญญา
เนื่องจากข้อตกลงที่ในเวลาหนึ่งอาจจะดูเหมือนไม่มีอะไรและไม่น่าจะเกิดผลกระทบอะไรมากนัก
เมื่อเวลาและสถานการณ์เปลี่ยนไปอาจจะก่อให้เกิดผลกระทบได้มากก็ได้
แต่จุดของเวลาที่กฎหมายให้ความสำคัญ คือ เวลาในขณะทำสัญญาเพราะคู่สัญญาย่อมไม่อาจคาดหมายได้ว่าในอนาคตจะเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง
การนำเหตุการณ์ในอนาคตที่คู่สัญญาไม่รู้ในขณะทำสัญญา
แต่ปรากฏชัดเจนแล้วในขณะพิจารณามาเป็นตัวตัดสินว่าข้อสัญญาที่ทำในอดีตนั้นเป็นธรรมหรือไม่จึงอาจจะไม่เหมาะสมนักและอาจจะทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมแก่คู่สัญญาเสียด้วยซ้ำไป
ข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม
·
ข้อตกลงในสัญญาระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบธุรกิจการค้าหรือวิชาชีพ
หรือในสัญญาสำเร็จรูปหรือในสัญญาขายฝาก
·
ข้อตกลงนั้นทำให้ผู้ประกอบธุรกิจการค้า
หรือวิชาชีพหรือผู้กำหนดสัญญาสำเร็จรูป หรือผู้ซื้อฝากได้เปรียบคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง
และ
·
ความได้เปรียบนั้นเป็นความได้เปรียบที่เกินสมควร
ผลของข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม
·
บังคับได้เพียงเท่าที่เป็นธรรมและพอสมควรแก่กรณี
|
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น