การเจรจาและอายุความ
เมื่อมีกรณีที่จำเป็นต้องใช้สิทธิเรียกร้องและดำเนินคดีเพื่อบังคับตามสิทธิ
ปัจจัยหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องให้ความสำคัญคือเรื่องของ “อายุความ” เพราะอาจจะกระทบถึงการใช้สิทธินั้นว่าจะทำได้หรือไม่
หากแม้มี “สิทธิ”
แต่ไม่ได้ใช้สิทธินั้นภายในเวลาที่เหมาะสม
สิทธิที่มีอยู่ก็อาจจะไม่มีค่าอะไรเลยก็ได้
หากเป็นการใช้สิทธิเรียกร้องจากการที่มีผู้ทำ “ละเมิด” ตามปกติจะต้องใช้สิทธิเรียกร้องภายใน 1
ปีซึ่งเป็นระยะเวลาที่ค่อนข้างสั้น
หลายครั้งเราจึงพบว่าเวลาหนึ่งปีผ่านพ้นไปด้วยความรวดเร็วจนทำอะไรแทบไม่ทัน
แต่ที่สำคัญคือ “อันตราย”
ที่เกิดจากตัวสินค้าหลายอย่างต้องใช้เวลากว่าที่เราจะรู้ตัว
บางครั้งอาจจะรู้แล้วว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับตัวเรา
แต่อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดจากอะไร หรือเกิดจากการใช้หรือบริโภคสินค้าตัวไหน
ทำให้การใช้สิทธิเรียกร้องในกรณีเหล่านี้อาจจะมีปัญหาเกี่ยวกับ “อายุความ” ได้
อายุความทั่วไป
อย่างไรก็ตาม
การใช้สิทธิเรียกร้องข้างต้นนี้จะต้องไม่เกิน 10 ปีนับแต่วันที่มีการขายสินค้า
เช่นหากกว่าจะสืบรู้ตัวผู้ประกอบการที่ต้องรับผิดเป็นช่วงที่พ้น 10
ปีนับแต่วันที่เราไปซื้อสินค้านั้นมาก็อาจจะทำให้คดีที่เราจะฟ้องร้องกลายเป็นขาดอายุความ
โดยทั่วไปอาจจะไม่มีปัญหาที่ต้องใช้เวลาในการดำเนินการนานขนาดนั้นหากเป็นสินค้าที่เราใช้หรือบริโภคบ่อยๆ
เพราะหากสินค้ามี “ความบกพร่อง” จริงๆ
ไม่ว่าในลักษณะใดลักษณะหนึ่งคงจะทำให้เกิดความเสียหายขึ้นภายในเวลาที่ไม่นานมากนัก
แต่สินค้าบางชนิดเราอาจจะไม่ได้ใช้บ่อยนักหรือซื้อมาแล้วแทบจะไม่ได้ใช้เลย
ทำให้กว่าจะใช้และเกิดความเสียหายขึ้นมาก็ใกล้จะครบ 10
ปีแล้วทำให้คดีมีปัญหาเรื่องอายุความขึ้นมาได้
อายุความกรณีที่ต้องใช้เวลาในการแสดงอาการ
ในบางกรณีสินค้าที่ไม่ปลอดภัยอาจจะไม่ทำให้เกิดอันตรายในทันที
แต่จะเกิดอันตรายให้เห็นหลังจากมีการใช้หรือบริโภคสินค้านั้นเป็นเวลานานจนกระทั่งส่วนผสมในตัวสินค้าที่เป็นอันตรายมีปริมาณมากพอที่จะทำให้เกิดอันตรายที่สามารถสังเกตเห็นได้
สินค้าประเภทนี้เช่น ยา อาหาร หรือแม้กระทั่งวัสดุของใช้ ในอดีต กระเบื้องหรือฝ้าที่ใช้ในการก่อสร้างอาคารหรือที่พักอาศัยมีส่วนผสมของแร่ใยหินอยู่
หากมีการสัมผัสหรืออยู่ใกล้วัสดุที่มีส่วนผสมของแร่ชนิดนี้อยู่มากอาจจะทำให้บุคคลเหล่านั้นเป็นโรคมะเร็งปอดได้
การที่จะเกิดมีอาการของโรคมะเร็งขึ้นเมื่อใดจะขึ้นอยู่กับว่าบุคคลเหล่านั้นสัมผัสหรืออยู่ใกล้วัสดุที่มีแร่ใยหินมากน้อยเพียงใด
หากต้องสัมผัสหรืออยู่ใกล้บ่อย อาการผิดปกติของโรคมะเร็งอาจจะเกิดขึ้นได้เร็ว
แต่หากไม่ได้สัมผัสหรืออยู่ใกล้มากก็อาจจะใช้เวลานานกว่าที่จะแสดงอาการออกมา
บางครั้งอาจจะนานถึงสิบปีก็ได้ ดังนั้น ในกรณีเหล่านี้เราไม่สามารถใช้วิธีการนับอายุความแบบปกติได้
เพราะอายุความแบบปกติเราได้กล่าวถึงไปแล้วว่าแม้โดยทั่วไปจะใช้สิทธิเรียกร้องได้ภายใน
3 ปีนับแต่รู้ถึงความเสียหายและรู้ตัวผู้ประกอบการที่ต้องรับผิด แต่จะต้องไม่เกิน
10 ปีนับแต่มีการขายสินค้านั้น ทำให้ในกรณีที่ต้องใช้เวลาแสดงอาการเหล่านี้อาจพ้นกำหนด
10 ปีนับแต่มีการขายสินค้าไปแล้วเราถึงจะรู้ว่าเกิดมีอันตรายอย่างหนึ่งอย่างใดขึ้น
ในกรณีที่ต้องใช้เวลาในการแสดงอาการเหล่านี้กฎหมายจึงได้กำหนดอายุความไว้เป็นกรณีพิเศษ
แม้ตามปกติเรายังคงต้องนับอายุความตั้งแต่วันที่รู้ถึงความเสียหายและรู้ตัวผู้ประกอบการที่ต้องรับผิดและใช้สิทธิเรียกร้องไม่เกิน
3
ปีนับตั้งแต่วันดังกล่าวเหมือนกับกรณีอายุความทั่วไปของการใช้สิทธิเรียกร้องตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย
แต่ระยะเวลาสูงสุดที่กฎหมายให้ไว้จะเป็น 10 ปีนับตั้งแต่วันที่รู้ถึงความเสียหายที่เกิดขึ้น
ทำให้เราอาจจะใช้สิทธิเรียกร้องได้แม้ว่าจะพ้น 10
ปีนับแต่วันที่มีการขายสินค้านั้นมาแล้วก็ตาม
อายุความสะดุดหยุดลงกรณีมีการเจรจา
เมื่อเกิดมีความเสียหายขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย
กฎหมายต้องการส่งเสริมให้ผู้เสียหายและผู้ประกอบการได้พยายามแก้ปัญหาและหาทางเยียวยาในระหว่างกันเองก่อน
เพราะหากสามารถแก้ปัญหาและหาทางเยียวยาในระหว่างกันเองได้จะทำให้ผู้เสียหายได้รับการช่วยเหลือในเวลาอันรวดเร็ว
หากต้องรอให้ทุกเรื่องไปใช้กระบวนการทางศาลเพื่อตัดสินชี้ขาดและบังคับการให้เป็นไปตามนั้นอาจจะใช้เวลานานจนผู้เสียหายได้รับความช่วยเหลือไม่ทันท่วงที
มาตรการประการหนึ่งที่กฎหมายกำหนดให้เพื่อเป็นการส่งเสริมการหาทางเยียวยาในระหว่างกันเอง
คือ การกำหนดให้อายุความที่เราได้กล่าวถึงมาข้างต้น “สะดุดหยุดอยู่”
ไม่นับรวมช่วงเวลาในระหว่างที่มีการเจรจาเกี่ยวกับค่าเสียหายระหว่างผู้ประกอบการกับผู้เสียหาย
แม้ว่าการเจรจาจะไม่ได้ทำให้ต้องเริ่มนับอายุความกันใหม่เหมือนกับการไปฟ้องร้องคดีที่ศาลและมีผลเพียงว่าการเจรจาใช้เวลานานเท่าใดก็ให้หักระยะเวลาของการเจรจานั้นออกจากระยะเวลาตามอายุความเท่านั้น
แต่อย่างน้อยก็จะมีผลทำให้คู่กรณีทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องไม่ต้องรีบร้อนในการไปฟ้องร้องคดีต่อศาลและสามารถเจรจาหาทางตกลงกันเองด้วยความสะดวกใจมากยิ่งขึ้น
ดังนั้น หากก่อนเริ่มเจรจามีอายุความเหลืออยู่เท่าใด เมื่อมีการบอกเลิกการเจรจาแล้วการจะไปฟ้องร้องคดีต่อศาลก็ต้องทำภายในเวลาที่เหลืออยู่เท่าเดิม
ยกตัวอย่างเช่น หากก่อนเริ่มเจรจามีอายุความเหลืออยู่ 1 วัน
ใช้เวลาเจรจากันอยู่นาน 10 วันก็บอกเลิกการเจรจาเสีย เมื่อบอกเลิกเจรจาแล้วก็ต้องรีบไปฟ้องคดีภายในเวลา
1 วันที่เหลืออยู่เช่นเดิม
การเจรจาอาจจะทำให้การฟ้องร้องคดีเนิ่นช้าไปบ้าง
แต่สำหรับคู่กรณีที่คิดว่าการเจรจาที่ดำเนินอยู่นั้นจะทำให้ตนเองเสียประโยชน์ซึ่งตามปกติน่าจะได้แก่ทางด้านของผู้ประกอบการที่เป็นฝ่ายต้องถูกเรียกร้องให้รับผิดที่จะต้องมีระยะเวลาที่อาจถูกฟ้องเรียกร้องเนิ่นนานขึ้น
คู่กรณีฝ่ายนั้นสามารถขอ “บอกเลิกการเจรจา” เมื่อใดก็ได้ และการบอกเลิกการเจรจาดังกล่าวสามารถทำได้ฝ่ายเดียวโดยไม่ต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งต้อง
“ยินยอม” ด้วย
เพราะการเจรจาจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากคู่กรณีทุกฝ่าย
หากคู่กรณีฝ่ายหนึ่งไม่เต็มใจที่จะเจรจาอีกต่อไปแล้วการเจรจานั้นก็ย่อมจะไม่มีประโยชน์อีกต่อไปแล้ว
เมื่อมีการบอกเลิกการเจรจาแล้ว
อายุความจะเริ่มนับต่อจากอายุความที่เคยนับมาแล้วก่อนมีการเจรจา ขึ้นอยู่กับว่าก่อนเจรจามีเวลาเหลืออยู่เท่าใดก็จะนับต่อไปเท่าเวลาที่เหลืออยู่ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
แม้ตามกฎหมายจะใช้คำว่า “การเจรจา”
แต่ในบางกรณีคู่กรณีอาจจะขอความช่วยเหลือจากบุคคลอื่นหรือหน่วยงานบางแห่งให้เข้ามามีบทบาทในการเจรจาด้วย
โดยอาจจะให้บุคคลอื่นหรือหน่วยงานนั้นทำหน้าที่เป็น “ผู้ไกล่เกลี่ย” ให้แก่คูกรณี
การดำเนินการในลักษณะดังกล่าวนี้ก็ควรจะมีผลทำให้อายุความสะดุดหยุดอยู่ด้วย เพราะแม้จะมีบุคคลที่สามเข้ามามีบทบาทเพิ่มขึ้น
แต่เนื้อหาสาระของการดำเนินการก็ยังคงมีลักษณะของการเจรจาอยู่
ในกระบวนการไกล่เกลี่ย
คู่กรณีไม่ว่าจะเป็นผู้เสียหายหรือผู้ประกอบการก็ยังคงต้องเจรจาในระหว่างกันเองอยู่
เพียงแต่การมีผู้ไกล่เกลี่ยเข้ามาช่วยจะทำให้คู่กรณีมีโอกาสที่จะตกลงกันได้ง่ายขึ้นด้วยความช่วยเหลือของผู้ที่เป็น
“คนกลาง” ประการสำคัญคือหากยังไม่ปรากฏเหตุที่คู่กรณีฝ่ายหนึ่งได้
“บอกเลิก”
ก็คงต้องถือว่ายังมีการเจรจาดำเนินอยู่ด้วย
นอกจากนั้น
ตามกฎหมายไม่ได้จำกัดว่าการเจรจาระหว่างผู้เสียหายกับผู้ประกอบการนี้จะทำได้เพียงครั้งเดียว
ดังนั้น หากมีการบอกเลิกการเจรจาไปแล้ว
แต่ต่อมาคู่กรณีหวนกลับมาเจรจากันใหม่อีกไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม
ต้องถือว่าระยะเวลาของการเจรจาแต่ละรอบไม่นับรวมอยู่ในอายุความตราบเท่าที่เมื่อคู่กรณีฝ่ายหนึ่งต้องการเจรจาแล้วอีกฝ่ายหนึ่งไม่ขัดข้องที่จะเจรจาด้วย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น