ผู้เสียหายต้องพิสูจน์อะไร

เราได้กล่าวถึงมาแล้วเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ที่จะทำให้ผู้ประกอบการต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหาย แต่การที่จะให้ผู้ประกอบการต้องรับผิดชอบกรณีดังกล่าวก็ไม่ใช่ว่าเมื่อผู้เสียหายไปยื่นฟ้องแล้วเป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจ รอแต่เพียงวันเวลาที่จะได้รับเงิน การจะให้ใครสักคนต้องรับผิดชอบชดใช้เงิน ซึ่งในหลายๆ กรณีอาจจะเป็นหลักหลายแสนหลายล้านบาทจำเป็นต้องมีกระบวนการและขั้นตอนที่ต้องดำเนินการต่อไปเพื่อเป็นการแสดงหลักฐานสนับสนุนว่าผู้ที่มาฟ้องร้องนั้นเป็นบุคคลที่มีสิทธิและมีเหตุที่สมควรจะได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนอย่างแท้จริง

ความเสียหาย

เมื่อเรากำลังพูดถึงการชดใช้ ค่าสินไหมทดแทน ซึ่งเราก็ได้พูดกันมาแล้วอีกเหมือนกันว่าเป็นการชดเชย ความเสียหาย ดังนั้น สิ่งแรกที่ผู้เสียหายจำเป็นต้องพิสูจน์ให้เห็นคือ ความเสียหาย เพราะแม้สินค้าที่ผู้ประกอบการได้ผลิต นำเข้า หรือขายในท้องตลาดจะเป็นสินค้าที่ไม่ปลอดภัยอย่างไรก็ตาม และไม่ว่าลักษณะที่ไม่ปลอดภัยนั้นจะเกิดจากสาเหตุของการผลิตที่บกพร่อง การออกแบบที่บกพร่อง หรือการบกพร่องในเรื่องการเตือนหรือการให้ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการใช้งานสินค้า หากสินค้านั้นไม่ได้ก่อให้เกิด ความเสียหาย ขึ้นกับตัว ผู้เสียหาย ก็ย่อมจะยังไม่มีกรณีที่ผู้เสียหายนั้นจะสามารถฟ้องร้องให้ผู้ประกอบการต้องชดใช้ ค่าสินไหมทดแทน ให้แก่ตนได้ หากสินค้าที่ซื้อมามีความชำรุดบกพร่อง แต่ยังไม่เกิดอันตรายอย่างใดขึ้น ผู้ที่ซื้อสินค้านั้นมาไม่อาจเรียกร้องให้ ผู้ขาย รับผิดชอบต่อความชำรุดบกพร่องนั้นตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยได้ แต่เป็นเรื่องของการเรียกร้องกันระหว่าง ผู้ซื้อ และ ผู้ขาย กันตามปกติและต้องใช้หลักเกณฑ์ตามที่กำหนดในสัญญาซื้อขายระหว่างกันประกอบกับหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ยังไม่ใช่เป็นกรณีที่จะอยู่ในบังคับของกฎหมายว่าด้วยความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้

ส่วนในกรณีที่เกิด ความเสียหาย ขึ้นจริง ผู้เสียหายจะต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าความเสียหายที่ตนเองได้รับว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ไม่ว่าจะเป็นความเสียหายในด้านใดก็แล้วแต่ ทั้งความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย สุขภาพ อนามัย จิตใจหรือทรัพย์สิน แต่ไม่ใช่ว่าในแต่ละกรณีจะต้องพิสูจน์ให้เห็นความเสียหายเหล่านี้กันทุกๆ ด้าน การจะพิสูจน์ในเรื่องอะไรก็ขึ้นอยู่กับว่าในกรณีที่เกิดขึ้นนั้น ผู้เสียหายได้รับความเสียหายในด้านใดบ้าง ส่วนการจะใช้ อะไร มาพิสูจน์ก็เป็นเรื่องของแต่ละกรณีไปว่ามีใครรู้เห็นเหตุการณ์บ้าง มีเอกสารหลักฐานหรือภาพถ่ายอะไรบ้างที่จะสามารถแสดงให้เห็นลักษณะของ ความเสียหาย ที่เกิดขึ้นนั้น

ความเสียหายจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยของผู้ประกอบการ

          เมื่อเรากำลังจะใช้สิทธิตาม กฎหมายว่าด้วยความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย การพิสูจน์เรื่องของ ความเสียหาย ที่กล่าวถึงมานี้จึงจำเป็นต้องแสดงให้เห็นด้วยว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจากปัจจัยหรือสาเหตุอื่น หากแต่เกิดขึ้นมาจาก สินค้าที่ไม่ปลอดภัย และหากไม่ใช่เพราะสินค้าที่ไม่ปลอดภัยนั้นความเสียหายเหล่านั้นคงจะไม่ได้เกิดขึ้น

          นอกจากนั้น การพิสูจน์ในประเด็นนี้จำเป็นต้องแสดงให้เห็นต่อไปด้วยว่าสินค้าที่ไม่ปลอดภัยนั้นเป็นสินค้าของผู้ประกอบการที่ตกเป็นจำเลยด้วย ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างจำเลยที่เป็นผู้ประกอบการแต่ละรายจะเป็นอย่างไรนั้นเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ต้องแสดงให้เห็น เพราะผู้ประกอบการที่อาจจะต้องรับผิดนั้นมีได้หลายคนและบางกรณีผู้ประกอบการบางประเภทอาจจะไม่ต้องรับผิดก็ได้ เช่นหากเป็นกรณีที่ผู้ประกอบการเป็น ผู้ขายสินค้า จะต้องเป็นกรณีที่ไม่สามารถระบุตัวได้ว่าผู้ผลิต ผู้ว่าจ้างให้ผลิตหรือผู้นำเข้าสินค้าชนิดนั้นเป็นใคร หากรู้ตัวผู้ผลิต ผู้ว่าจ้างให้ผลิตหรือผู้นำเข้าแล้วก็จะต้องไปดำเนินการเรียกร้องเอากับบุคคลเหล่านั้นไป หากผู้ที่ตกเป็นจำเลยมีหลายคนก็จำเป็นต้องแสดงให้เห็นว่าแต่ละคนเกี่ยวข้องเป็น ผู้ผลิต ผู้ว่าจ้างให้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้ขาย หรือ ผู้ซึ่งใช้ชื่อที่จะทำให้เกิดความเข้าใจผิด

การใช้และการเก็บรักษาสินค้าตามปกติธรรมดา

          ในบางกรณีแม้สินค้าที่วางขายในท้องตลาดจะมีอันตรายอยู่บ้าง แต่อันตรายนั้นอาจจะขึ้นอยู่กับวิธีการใช้หรือการเก็บรักษาสินค้านั้นด้วย หากมีการใช้หรือเก็บรักษาสินค้านั้นอย่างถูกต้องตามวิธีการที่เหมาะสม โดยเฉพาะวิธีการใช้หรือเก็บรักษาตามที่ผู้ผลิตหรือผู้ขายสินค้านั้นแนะนำสำหรับสินค้าชนิดนั้นๆ สินค้านั้นจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้ใช้หรือบริโภคสินค้า

          กรณีดังกล่าวนี้สินค้าอาจจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายหากมีการใช้หรือเก็บรักษาอย่างถูกต้องเหมาะสม หากสินค้านั้นเกิดอันตรายขึ้นเพราะลักษณะการใช้งานหรือการเก็บรักษาที่ไม่ถูกต้องตามวิธีการที่ควรจะเป็น ความผิด ที่เป็นสาเหตุหลักของ อันตราย จึงอาจกล่าวได้ว่าไม่ได้มาจากตัวสินค้านั้น แต่เกิดจากตัว ผู้ใช้หรือบริโภค สินค้าชนิดนั้นเอง การจะให้ผู้ประกอบการต้องมารับผิดชอบในกรณีเหล่านี้จึงอาจจะไม่เป็นธรรมกับผู้ประกอบการ เพราะความจริงแล้วอันตรายที่เกิดขึ้นนั้นเป็นอันตรายที่สามารถป้องกันและหลีกเลี่ยงได้ และหากมีการใช้หรือเก็บรักษาอย่างถูกต้อง สินค้านั้นก็จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายแต่อย่างใด ผู้ประกอบการจึงไม่ควรต้องรับผิดชอบกับ ความเสียหาย ที่เกิดขึ้น เว้นเสียแต่ว่าวิธีการใช้หรือเก็บรักษาสินค้าที่ผู้ประกอบการได้ระบุไว้จะไม่ชัดเจนหรือไม่มีรายละเอียดที่เหมาะสมเพียงพอก็จะเป็นอีกกรณีหนึ่งที่ถือเป็น ความบกพร่องในการเตือนหรือให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องตามสมควร

          การที่ผู้เสียหายจะเรียกร้องให้ผู้ประกอบการต้องรับผิด ผู้เสียหายจึงต้องแสดงให้เห็นเสียก่อนว่าตนเองได้ใช้หรือเก็บรักษาสินค้านั้นตามปกติธรรมดาสำหรับสินค้าชนิดนั้น หากมีการระบุหรือกำหนดวิธีการใช้หรือเก็บรักษาสินค้านั้นอย่างใดเป็นพิเศษก็ได้มีการปฏิบัติตามข้อกำหนดที่ระบุไว้เป็นพิเศษเหล่านั้นแล้ว เพื่อแสดงให้เห็นว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากตัว ผู้เสียหาย เอง แต่เกิดจาก ความบกพร่อง ของตัวสินค้าที่ผู้ประกอบการวางขายในท้องตลาดเอง

          ส่วนข้อที่ว่าในระหว่างผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องนั้นใครจะต้องเป็นผู้ที่ต้องรับผิดชอบในความบกพร่องที่แท้จริงนั้นไม่ใช่ส่วนที่ผู้เสียหายต้องพิสูจน์หรือแสดงให้เห็น แต่เป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการเหล่านั้นจะต้องไปดำเนินการในระหว่างกันเอง เช่น ในกรณีของ ความบกพร่องในการเตือนหรือให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องตามสมควร ที่ในเอกสารกำกับสินค้าไม่ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการใช้หรือการเก็บรักษาที่เหมาะสม ทำให้ผู้ใช้หรือผู้บริโภคสินค้านั้นไม่ได้ใช้หรือเก็บรักษาสินค้าตามวิธีการที่ควรจะเป็นจนทำให้เกิดอันตรายขึ้น ในกรณีนี้ ผู้ผลิตอาจจะขายให้แก่ผู้นำเข้าแล้วให้ผู้นำเข้าไปบรรจุหีบห่อเองเพื่อเป็นการประหยัดต้นทุนและสะดวกในการขนส่งสินค้าจากต่างประเทศ ผู้ผลิตอาจจะได้ระบุแจ้งวิธีการเก็บรักษาหรือใช้สินค้าที่เหมาะสมให้แก่ผู้นำเข้าแล้ว แต่เมื่อมีการบรรจุหีบห่อในประเทศไทย ผู้นำเข้าไม่ได้ระบุแจ้งวิธีการเหล่านั้นไว้ในเอกสารกำกับสินค้าด้วยจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายขึ้นมา ในกรณีนี้ ผู้เสียหายคงต้องพิสูจน์เพียงว่าผู้ประกอบการแต่ละคนเกี่ยวข้องกับสินค้าในฐานะผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าอย่างไรก็เป็นการเพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้ประกอบการเหล่านั้นต้องร่วมกันรับผิดต่อผู้เสียหาย ส่วนว่าเมื่อผู้ประกอบการรายใดที่ได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหายไปแล้วจะไปไล่เบี้ยเอากับผู้ประกอบการรายอื่นเป็นเรื่องของผู้ประกอบการเหล่านั้นเอง การที่แต่ละคนมีความผิดที่ไม่เท่าเทียมกันหรือแม้แต่อาจจะได้ดำเนินการตามสมควรดังเช่นผู้ผลิตรายนี้ที่ได้ให้ข้อมูลกับผู้นำเข้าไปแล้ว แต่ผู้นำเข้าไม่ปฏิบัติตามเองก็ไม่มีผลกระทบต่อความรับผิดที่ผู้ประกอบการมีต่อผู้เสียหาย ผู้ผลิตนั้นยังคงต้องรับผิดต่อผู้เสียหายอยู่เช่นเดิม

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ความรับผิดของผู้ถือหุ้น หุ้นส่วน หรือบุคคลที่มีอำนาจควบคุมนิติบุคคล

ฮั้ว

บางครั้งก็ต้องยอม