ค่าเสียหายเพื่อการลงโทษ
การกระทำของผู้ประกอบธุรกิจบางรายที่มุ่งหวังผลประโยชน์ทางธุรกิจของตนเองจนลืมหรือไม่ใส่ใจต่อความรับผิดชอบที่มีต่อสังคมและผู้บริโภคอาจจะสร้างความเสียหายให้แก่สังคมและผู้บริโภคได้จำนวนมาก
การกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจเหล่านี้ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้บริโภคที่ได้รับความเสียหายเป็นวิธีการหนึ่งที่จะช่วยเยียวยาความเสียหายให้แก่ผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบและทำให้ผู้ประกอบธุรกิจเหล่านี้เป็นผู้แบกรับภาระที่เกิดขึ้นจากการประกอบธุรกิจของตนแทนที่จะให้รัฐหรือสังคมเป็นผู้รับผิดชอบ
แต่การรับผิดชดใช้ค่าเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทนนี้อาจจะไม่มีผลทำให้ผู้ประกอบธุรกิจหลายรายหยุดหรือเพิ่มความระวังเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจในส่วนที่อาจจะก่อให้เกิดอันตรายต่อสังคมและผู้บริโภค
เนื่องจากจำนวนค่าเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทนที่ต้องจ่ายให้แก่ผู้บริโภคที่ฟ้องร้องมีจำนวนที่ไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับ
“ผลกำไร”
ที่จะได้อย่างมหาศาลจากการผลิตหรือขายสินค้าที่มีโอกาสก่อให้เกิดอันตรายนั้น
หากโอกาสที่จะสร้าง “ผลกำไร”
ยังมีอยู่สูงก็จะยังคงมีผู้ที่พร้อมจะเสี่ยงผลิตหรือขายสินค้าลักษณะนี้อยู่อีกต่อไปเพราะถึงอย่างไรก็ยัง
“คุ้ม” ที่จะทำ
ในบางกรณีที่พฤติกรรมของผู้ประกอบธุรกิจเข้าขั้น
“อุกอาจ”
ในแง่ของพฤติกรรมการประกอบธุรกิจที่เอาเปรียบผู้บริโภคซึ่งไม่ใช่เพียงความพลาดพลั้งในกระบวนการผลิตหรือการดำเนินธุรกิจตามปกติ
การจะทำให้ผู้ประกอบธุรกิจเหล่านี้หยุดหรือเพิ่มความระมัดระวังเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจที่จะก่อให้เกิดความเสียหายจำเป็นต้องใช้มาตรการที่มากกว่าการให้รับผิดชดใช้ค่าเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทนตามปกติเพื่อให้มีผลทำให้จำนวนเงินที่ต้องจ่ายให้แก่ผู้บริโภคมีจำนวนที่สูงมากพอที่จะทำให้
“ผลกำไร” ที่เหลืออยู่เป็นการไม่ “คุ้ม” ที่จะดำเนินธุรกิจที่ “สุ่มเสี่ยง” จะก่อให้เกิดอันตรายหรือเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคอีกต่อไป เพราะ “มูลเหตุจูงใจ” ของผู้ประกอบธุรกิจย่อมได้แก่ “ผลกำไร” ที่จะได้รับ
หากรู้ว่าตนดำเนินธุรกิจในบางลักษณะแล้วอาจจะทำให้ตนไม่ได้รับผลกำไรที่คาดหวัง
ผู้ประกอบธุรกิจย่อมจะหลีกเลี่ยงการประกอบธุรกิจในลักษณะดังกล่าว
“มูลเหตุจูงใจ” ในที่นี้อาจจะมีผลในส่วนของผู้บริโภคด้วย
เพราะการดำเนินการบังคับให้เป็นไปตามกฎหมายย่อมต้องอาศัยบุคคลที่จะมาช่วยดำเนินการนำผู้ที่ควรต้องรับผิดชอบเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย
แม้หน่วยงานของรัฐอาจจะมีส่วนช่วยในการทำหน้าที่นี้อยู่ด้วย
แต่การหวังพึ่งแต่เพียงหน่วยงานของรัฐเพียงด้านเดียวคงจะทำให้เกิดสภาวะของปัญหา “กระจุกที่คอขวด”
เพื่อรอจะออกไปในช่องทางเดียวที่มีอยู่ ทำให้ปัญหาจำนวนมากต้องรอการแก้ไข
การดำเนินการที่จะทำให้เกิดประสิทธิภาพจึงจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือของผู้บริโภคหรือประชาชนที่ได้รับผลกระทบให้ช่วยในการดำเนินการด้วยอีกแรงหนึ่งจึงจะทำให้เกิดประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย
การจะสร้างแรงจูงใจให้ผู้บริโภคหรือประชาชนที่ได้รับผลกระทบให้ลุกขึ้นมาดำเนินการช่วยเหลือในการบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมายนี้เราเรียกว่าเป็น
“การควบคุมโดยภาคเอกชน (Private regulation)” จำเป็นที่จะต้องให้บุคคลที่เข้ามาช่วยในการบังคับนี้ได้รับสิ่งตอบแทนกลับไปให้คุ้มค่ากับภาระและค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นด้วย
ในอดีตแนวคิดหนึ่งที่ยึดถือกันในกฎหมายไทยเราคือเราไม่สนับสนุน
“การค้าความ”
ที่บุคคลจะมาแสวงหากำไรจากการดำเนินกระบวนการทางกฎหมาย ดังนั้น
การกำหนดค่าเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทนจึงต้องให้ไม่เกินจำนวนที่บุคคลเหล่านั้นได้รับอย่างแท้จริง
การให้สิ่งใดเกินไปจึงถือว่าเป็นการให้ “กำไร” อันจะทำให้มีคดีความที่ฟ้องร้องกันมากเกินความจำเป็นและการดำเนินคดีหลายเรื่องจะเป็นเรื่องที่
“เก็งกำไร” กัน
แต่แนวคิดดังกล่าวนี้อาจจะมีบางส่วนที่ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมได้
หากเรามองข้อเท็จจริงง่าย
ๆ ว่า เราได้รับความเสียหายจ่ายค่ารักษาพยาบาลไปเป็นเงิน 100,000 บาท หากค่าเสียหายที่จะให้ได้ต้องไม่เกิน 100,00 บาท
แต่ในการดำเนินคดี ผู้บริโภคต้องจ่ายค่าทนายความ 20,000 บาท
แม้ศาลจะกำหนดค่าทนายความให้ในการกำหนดค่าฤชาธรรมเนียมที่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งต้องชดใช้ให้
แต่ค่าทนายความที่ศาลกำหนดดังกล่าวจะน้อยกว่าที่คู่ความจ่ายจริง
ส่วนจะน้อยกว่าเพียงใดนั้นคงต้องแล้วแต่ดุลพินิจในการกำหนดแต่ละกรณี
แต่หากสมมติว่าในกรณีนี้ค่าทนายความที่ศาลกำหนดให้เป็นเงิน 7,000 บาท เท่ากับว่ายังมีค่าทนายความอีก 13,000 บาทที่ผู้บริโภคต้องรับภาระด้วยตนเอง
เมื่อนำเงินดังกล่าวไปหักออกจากค่าเสียหายที่จะได้รับจากผู้ประกอบธุรกิจทำให้เหลือเงินที่ได้รับจริงเพียง
87,000 บาท ทำให้น่าคิดเหมือนกันว่าเช่นนั้นผลสุดท้ายเราได้ให้ความเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคเพียงพอแล้วหรือไม่
การคำนวณดังกล่าวเป็นการคำนวณแบบที่ยุ่งยากน้อยที่สุดเท่าที่จำเป็นเท่านั้น
แต่หากเราคิดในรายละเอียดแล้วในการดำเนินคดียังก่อให้เกิดภาระอื่นอีกไม่ว่าจะเป็นเวลาที่สูญเสียไปในการดำเนินการต่างๆ
ซึ่งอาจจะไปใช้ทำประโยชน์อย่างอื่นที่ให้ผลตอบแทนได้อีกมาก
ความกังวลเกี่ยวกับผลของคดีที่จะได้รับ
ความเสี่ยงที่การพิสูจน์ความรับผิดของจำเลยหรือค่าเสียหายที่จำเลยจะต้องชดใช้อาจจะไม่เป็นไปตามที่คิด
หากค่าเสียหายบางประการที่แม้เกิดขึ้นจริงแต่ขาดพยานหลักฐานในการพิสูจน์ทำให้อาจจะไม่ได้รับการชดใช้ก็ได้
สุดท้ายในกรณีข้างต้นเงินที่เหลืออาจจะน้อยกว่า 87,000 บาทอีก
ทำให้ส่วนที่ไม่ได้รับการเยียวยาของผู้บริโภคยิ่งมากขึ้นไปอีก
บางครั้งเราอาจจะคิดได้เหมือนกันว่าภาระและค่าใช้จ่ายเหล่านี้
ไม่ว่าจะเป็นเงินหรือเวลาที่ต้องใช้เป็นความจำเป็นที่ผู้ที่ต้องการจะเรียกร้องหรือบังคับตามสิทธิต้องเสียเพื่อให้ได้รับการชดใช้
แต่คำถามก็อาจจะเกิดขึ้นได้เช่นกันว่าถ้าหากไม่มีการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นแต่แรก
ความจำเป็นที่จะต้องเสียเวลาและเงินเหล่านี้ก็จะไม่เกิดด้วยเช่นกัน
ดังนั้นเมื่อสาเหตุมาจากบุคคลอื่นที่ทำให้เกิดปัญหาขึ้น แล้วทำไมต้องให้ภาระและค่าใช้จ่ายที่เหมือน
“เบิก”
ไม่ได้จากกระบวนการยุติธรรมเหล่านี้ต้องตกอยู่แก่ผู้บริโภคที่เป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนด้วย
ในการฟ้องร้องดำเนินคดีตามปกติหากผลที่ได้รับหักกลบแล้ว “ไม่คุ้ม” กับภาระและค่าใช้จ่ายย่อมทำให้การจะดำเนินคดีแต่ละครั้งต้องชั่งใจอย่างหนักว่าจะดำเนินการหรือไม่
แม้ผลของการชั่งใจนี้จะทำให้คดีความที่เกิดขึ้นเป็นคดีที่มีน้ำหนักมากขึ้นและขจัดเรื่องที่ขาด
“มูลคดี” ที่มีน้ำหนักออกไป
แต่ก็ทำให้ผู้ที่ได้รับความเสียหายอีกจำนวนหนึ่งที่เกิดความเสียหายขึ้นจริงไม่สามารถได้รับการเยียวยาจากกระบวนการยุติธรรมด้วยเช่นกัน
มาตรการหนึ่งที่สามารถดำเนินการเพื่อบรรเทาปัญหาข้างต้นได้
คือ การกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษ
ซึ่งอาจทำความเข้าใจได้ไม่ยากว่าเป็นค่าเสียหายส่วนที่ “เพิ่ม”
ไปจากค่าเสียหายส่วนที่เป็นการชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง
หากเราคิดเทียบเคียงกับกรณีที่กล่าวถึงไปว่า “ค่าเสียหายที่แท้จริง” ที่เกิดขึ้นเป็นค่ารักษาพยาบาลจำนวน 100,000 บาท
ค่าเสียหายเพื่อการลงโทษคือส่วนที่กำหนดให้เพิ่มเติมจากจำนวน 100,000 บาทนั้น ส่วนจะเป็นเท่าใดนั้นแล้วแต่ความเหมาะสมในแต่ละกรณี แต่กฎหมายวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคกำหนดให้ต้องไม่เกินสองเท่าของ
“ค่าเสียหายที่แท้จริง”
ค่าเสียหายเพื่อการลงโทษจึงกำหนดได้ไม่เกิน 200,000 บาท
หากเป็นกรณีที่ “ค่าเสียหายที่แท้จริง” มีจำนวนเงินไม่เกิน 50,000 บาท
ศาลอาจจะกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษได้ไม่เกิน 5 เท่าของจำนวนค่าเสียหายที่แท้จริง
ดังนั้น หากค่าเสียหายเพื่อการลงโทษคิดเป็นเงินเท่ากับ 50,000 บาท ค่าเสียหายเพื่อการลงโทษที่จะกำหนดได้จะต้องไม่เกินจำนวน 250,000
บาท
เหตุผลพื้นฐานของการกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษส่วนหนึ่ง
คือ การตัดทอน “กำไร”
ที่จะได้จากกิจกรรมหรือการกระทำที่ก่อให้เกิดอันตรายหรือการกระทำที่เป็นการเอาเปรียบโดยไม่เป็นธรรมออกไป
ทำให้สุดท้ายไม่คุ้มค่าที่จะสุ่มเสี่ยงทำกิจกรรมหรือการกระทำเหล่านั้น นอกจากนั้น
การลงโทษในทางแพ่งเช่นนี้ยังให้ผลเป็นการ “ป้องปราม”
ทั้งตัวผู้ประกอบธุรกิจที่ต้องชำระค่าเสียหายเพื่อการลงโทษเองและผู้ประกอบธุรกิจอื่น
ๆ ไม่ให้ดำเนินการที่คล้ายคลึงกันอีก
คล้ายกับแนวคิดของกฎหมายอาญาในการป้องกันการกระทำความผิดในอนาคตอีก
เพียงแต่กรณีนี้อาจจะไม่ได้ถึงขนาดเป็นความผิดทางอาญา
แต่เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมในทางแพ่ง
การกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษดังกล่าวยังช่วยทำให้ผู้บริโภคที่ได้รับความเสียหายรู้สึกว่า
“คุ้ม”
มากขึ้นที่ต้องลงทุนลงแรงรับภาระที่จะทำให้บุคคลที่กระทำการที่ไม่เหมาะสมให้ต้องรับผิดชอบในการกระทำของตนเอง
ทำให้กระบวนการยุติธรรมสามารถดำเนินการกับผู้กระทำการที่ไม่เหมาะสมได้อย่างทั่วถึงมากยิ่งขึ้น
กระบวนการยุติธรรมที่มีประสิทธิภาพย่อมทำให้เป็นที่พึ่งและเชื่อถือศรัทธาของประชาชนมากขึ้นด้วยเช่นกัน
การกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษนี้ไม่ไช่เป็นการกำหนดให้สำหรับทุกกรณีที่ฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้ประกอบธุรกิจ
เพราะในการดำเนินธุรกิจเป็นเช่นเดียวกับกิจกรรมอื่นในชีวิตประจำวันที่ย่อมเกิดข้อผิดพลาดได้เช่นกัน
การจะกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษหรือไม่จึงเป็นเรื่องที่ต้องแยกแยะให้ออกว่า “ข้อผิดพลาด”
ที่เกิดขึ้นนั้นร้ายแรงเพียงใดและเป็นข้อผิดพลาดที่ผู้ประกอบธุรกิจรู้เห็นเป็นใจให้เกิดขึ้นเพียงใด
กรณีที่จะกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษได้
กฎหมายวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคกำหนดไว้ว่าต้องเป็นกรณีที่ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากการที่ผู้ประกอบธุรกิจ
(ก) กระทำโดยเจตนาเอาเปรียบผู้บริโภคโดยไม่เป็นธรรม (ข)
จงใจให้ผู้บริโภคได้รับความเสียหาย (ค)
ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงไม่นำพาต่อความเสียหายที่จะเกิดแก่ผู้บริโภค หรือ (ง)
กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนต่อความรับผิดชอบในฐานะผู้มีอาชีพหรือธุรกิจอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน
เนื่องจากถือว่าการกระทำเหล่านี้เป็นการกระทำที่ร้ายแรงกว่าข้อผิดพลาดตามปกติที่เกิดขึ้นในการประกอบธุรกิจทั่วๆไป
หากเป็นกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจชักชวนให้ผู้บริโภคเป็นสมาชิกของโครงการแห่งหนึ่งที่ให้สิทธิประโยชน์ในการเข้าพักห้องพักของสถานตากอากาศของผู้ประกอบธุรกิจนั้น
โดยชักชวนให้ผู้บริโภคสมัครสมาชิกเพื่อหวังผลตอบแทนจากค่าสมาชิกทั้ง ๆ
ที่รู้อยู่แล้วว่าจำนวนห้องพักที่มีอยู่ไม่มีทางที่จะรองรับจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นได้
ทำให้ผู้บริโภคเหล่านี้เสียเงินค่าสมาชิกไปโดยไม่มีโอกาสที่จะได้เข้าพักตามสิทธิของตนได้อย่างแน่นอน
และในการทำสัญญาเป็นสมาชิกก็มีการวางข้อกำหนดหรือเงื่อนไขต่าง ๆ
อีกมากมายที่เป็นช่องทางให้ผู้ประกอบธุรกิจเหล่านั้นหลุดพ้นความรับผิดของตนเอง
การกระทำลักษณะนี้อาจจะถือได้ว่าเป็นการ “กระทำโดยเจตนาเอาเปรียบผู้บริโภคโดยไม่เป็นธรรม” ทำให้อาจจะเป็นเหตุที่อาจจะต้องกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษได้”
หากเป็นกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจผลิตสินค้าที่เกิดการปนเปื้อนโดยไม่ได้เจตนา
เพราะอาจจะเกิดจากข้อผิดพลาดของคนงานในระหว่างกระบวนการผลิต
การทำให้เกิดความเสียหายลักษณะดังกล่าวโดยไม่มีข้อเท็จจริงอื่นใดประกอบอาจจะยังไม่เป็นเหตุให้ต้องกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษ
เนื่องจากเป็นข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ในการดำเนินธุรกิจ
แต่หากปรากฏข้อเท็จจริงต่อไปว่าผู้ประกอบธุรกิจรู้แล้วว่าสินค้าที่ตนผลิตเกิดการปนเปื้อน
แต่ด้วยความเกรงว่าจะเกิดการขาดทุนจากการที่ได้ผลิตสินค้านั้นขึ้นมาแล้วและไม่สามาถนำสินค้าที่ผลิตแล้วนี้ไปใช้ทำประโยชน์อย่างอื่นได้อีก
ผู้ประกอบธุรกิจนั้นจึงได้นำสินค้าเหล่านั้นไปวางขายให้แก่ผู้บริโภคโดยลดราคาให้เป็นพิเศษเพื่อรีบขจัดสินค้าล็อตนั้นไปเสีย
ทำให้ผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าไปได้รับอันตราย การดำเนินธุรกิจลักษณะนี้อาจจะเข้าข่ายเป็นการ
“จงใจให้ผู้บริโภคได้รับความเสียหาย” ได้
ทำให้เป็นเหตุที่อาจจะต้องกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษ
หากเป็นกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจดำเนินการให้บริการด้วยเครื่องมือหรืออุปกรณ์บางอย่างที่ปรากฏข้อเท็จจริงภายหลังว่ามีความเสี่ยงสูงที่อาจจะก่อให้เกิดอันตรายขึ้นกับผู้รับบริการได้
แต่ด้วยความที่กลัว “ขาดทุน” จากการซื้อเครื่องมือหรืออุปกรณ์นั้นมาแล้ว
ผู้ประกอบธุรกิจยังคงใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์นั้นในการให้บริการอยู่ต่อไป
แม้ในกรณีนี้ผู้ประกอบธุรกิจจะไม่ได้จงใจทำให้เกิดความเสียหายต่อผู้บริโภค
แต่อาจจะถือได้ว่าเป็นการ “ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงไม่นำพาต่อความเสียหายที่จะเกิดแก่ผู้บริโภค” เพราะรู้อยู่แล้วว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอันตราย
แม้จะไม่ได้เป็นการแน่นอนว่าอันตรายนั้นจะเกิดทุกครั้งที่มีการใช้งาน
แต่ก็ไม่ใส่ใจกับอันตรายที่จะเกิดขึ้นและใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์นั้นจนทำให้เกิดความเสียหายขึ้น
ทำให้อาจจะเป็นเหตุที่อาจจะต้องกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษได้เช่นกัน
หากเป็นกรณีที่สถาบันการเงินแห่งหนึ่งนำเงินที่ได้จากผู้บริโภคไปเอื้อประโยชน์เป็นการส่วนตัวกับผู้บริหาร
ผู้ถือหุ้น หรือญาติมิตรของบุคคลเหล่านั้นโดยที่ปราศจากเหตุผลทางธุรกิจรองรับ
โดยอาจจะร้ายแรงถึงขนาดที่เป็นการ “ยักย้ายถ่ายเท” ทรัพย์สินออกไป
หรือการให้กู้โดยปราศจากหลักประกันที่เหมาะสมและไม่มีความเป็นไปได้ของโครงการที่จะทำให้เกิดผลตอบแทนมาชำระเงินกู้คืนได้ซึ่งหากเป็นกรณีของลูกค้าทั่วไปคงจะไม่ได้รับการปล่อยกู้ในลักษณะเช่นนั้น
ทำให้สถาบันการเงินไม่มีเงินเพียงพอที่จะชำระคืนให้แก่ผู้บริโภคที่ฝากหรือซื้อตั๋วเงินของสถาบันการเงินนั้น
แม้การกระทำนี้จะไม่ได้เจตนาทำให้ผู้บริโภคที่ฝากเงินต้องเสียหายโดยตรง
แต่อาจถือได้ว่าเป็นการ “กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนต่อความรับผิดชอบในฐานะผู้มีอาชีพหรือธุรกิจอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน” ทำให้เป็นเหตุที่อาจจะต้องกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษได้อีกกรณีหนึ่ง
ในการกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษนี้
ศาลจะต้องคำนึงถึงพฤติการณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น
ความเสียหายที่ผู้บริโภคได้รับว่าร้ายแรงหรือมีจำนวนมากน้อยเพียงใด
ผลประโยชน์ที่ผู้ประกอบธุรกิจได้รับซึ่งหากมีผลประโยชน์ที่ได้รับไปจำนวนมากก็อาจจะเป็นเหตุให้กำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษได้มากด้วย
สถานะทางการเงินของผู้ประกอบธุรกิจ การบรรเทาความเสียหายที่เกิดขึ้น
และการที่ผู้บริโภคอาจจะมีส่วนทำให้เกิดความเสียหายขึ้นหรือไม่เพียงใด
ค่าเสียหายเพื่อการลงโทษ
กรณีที่ศาลจะกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษได้
ต้องเป็นกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจ
·
กระทำโดยเจตนาเอาเปรียบผู้บริโภคโดยไม่เป็นธรรม
·
จงใจให้ผู้บริโภคได้รับความเสียหาย
·
ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงไม่นำพาต่อความเสียหายที่จะเกิดแก่ผู้บริโภค
หรือ
·
กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนต่อความรับผิดชอบในฐานะผู้มีอาชีพหรือธุรกิจอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน
จำนวนค่าเสียหายเพื่อการลงโทษ
· ต้องไม่เกิน
2
เท่าของ “ค่าเสียหายที่แท้จริง”
· หาก
“ค่าเสียหายที่แท้จริง” มีจำนวนไม่เกิน 50,000
บาท กำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษได้ไม่เกิน 5 เท่าของ “ค่าเสียหายที่แท้จริง”
|
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น