การฟ้องคดี
ศาลที่ผู้บริโภคมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล
การดำเนินคดีผู้บริโภคใช้บังคับทั้งกรณีที่ผู้บริโภคเป็นผู้ฟ้องร้องและผู้บริโภคถูกฟ้องตกเป็นจำเลย
ในกรณีปกติ หากมีการฟ้องร้องกันโจทก์จะสามารถเลือกฟ้องได้ว่าจะฟ้องที่ศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่หรือฟ้องที่ศาลที่
“มูลคดี” เกิดขึ้น
เดิมคดีที่ผู้บริโภคถูกฟ้องเป็นจำเลยจำนวนมาก
ไม่ว่าจะเป็นคดีบัตรเครดิตหรือคดีเช่าซื้อมักจะถูกฟ้องที่ศาลที่อยู่ในเขตของสำนักงานใหญ่ของบริษัทโจทก์โดยอ้างว่ามีการทำสัญญาขึ้นที่สำนักงานใหญ่
ทำให้ถือว่า “มูลคดี” เกิดขึ้นในเขตของสำนักงานใหญ่ ทั้งๆ
ที่ผู้บริโภคที่เป็นจำเลยอาจจะมีภูมิลำเนาอยู่ต่างจังหวัดทั่วประเทศ
เมื่อเกิดเป็นคดีขึ้น ผู้บริโภคที่เป็นจำเลยก็ต้องเดินทางมา หรือมิฉะนั้นก็ต้องแต่งทนายความให้เดินทางมาทำหน้าที่ว่าต่างแก้ต่างให้ในศาลที่มีการฟ้องร้องคดีซึ่งมักจะอยู่ในกรุงเทพมหานคร
ทำให้เกิดเป็นภาระและค่าใช้จ่ายแก่ผู้บริโภคจำนวนมาก
กฎหมายวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคจึงได้กำหนดหลักการใหม่ให้การฟ้องร้องคดีผู้บริโภคที่ผู้ประกอบธุรกิจเป็นผู้ฟ้องและในกรณีนั้นตามปกติผู้ประกอบธุรกิจอาจจะมีสิทธิฟ้องได้ทั้งที่ศาลที่ผู้บริโภคมีภูมิลำเนาอยู่หรือฟ้องที่ศาลอื่นได้ด้วย
ผู้ประกอบธุรกิจจะต้องฟ้องที่ศาลที่ผู้บริโภคมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลได้เพียงแห่งเดียวเพื่อทำให้การดำเนินคดีในส่วนผู้บริโภคทำได้สะดวกมากขึ้นและทำให้ผู้บริโภคอาจมาดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลโดยไม่กระทบต่อการประกอบอาชีพการงานนักหากผู้บริโภคยังคงประกอบอาชีพการงานอยู่ในเขตภูมิลำเนาของตน
สำหรับในกรณีที่ผู้บริโภคจะเป็นโจทก์ฟ้อง
การจะฟ้องได้ที่ศาลใดย่อมเป็นไปตามกรณีปกติที่ผู้บริโภคย่อมมีสิทธิที่จะเลือกได้
ไม่ว่าจะเป็นศาลที่จำเลยคือผู้ประกอบธุรกิจมีภูมิลำเนาอยู่หรือศาลอื่นที่มีเขตอำนาจรับพิจารณาคดีนั้นซึ่งต้องพิจารณาเป็นรายกรณีไป
ค่าฤชาธรรมเนียม
ปัญหาในทางปฏิบัติอีกประการหนึ่งที่เกิดขึ้นในกรณีที่ผู้บริโภคได้รับความเสียหายอย่างใดอย่างหนึ่งและต้องการได้รับการชดใช้
การจะฟ้องร้องเพื่อบังคับตามสิทธิของตนนี้จะมีค่าฤชาธรรมเนียมศาลที่ผู้บริโภคอาจจะต้องเสีย
เช่น ค่าขึ้นศาล หรือแม้แต่ในกรณีที่ผู้บริโภคตกเป็นจำเลยเองก็อาจจะมีค่าฤชาธรรมเนียมบางอย่างที่ต้องชำระด้วยเช่นกัน
หากผู้บริโภคนั้นเป็นคนมีฐานะยากจนหรือได้รับความเสียหายจนกระทั่งตัวผู้บริโภคไม่มีกำลังทรัพย์เพียงพอที่จะชำระค่าฤชาธรรมเนียมได้อาจจะทำให้เป็นอุปสรรคในการฟ้องร้องเพื่อบังคับตามสิทธิหรือการต่อสู้คดีของตน
แม้ว่าผู้บริโภคอาจจะสามารถขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาได้ แต่ก็ต้องเกิดกระบวนการขั้นตอนเพิ่มเติมขึ้นมาอีก
ทำให้การชดใช้และเยียวยาความเสียหายต้องเนิ่นช้าออกไปอีก กฎหมายวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคจึงได้กำหนดยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงให้สำหรับการดำเนินกระบวนการพิจารณาใดๆ
ที่ดำเนินการโดยผู้บริโภคหรือผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภค
อย่างไรก็ตาม
เนื่องจากในกฎหมายว่าด้วยความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยได้กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมไว้เช่นกัน
ในกฎหมายวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคจึงได้กำหนดว่าการยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมในคดีผู้บริโภคนี้ต้องอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายว่าด้วยความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย
ผลจึงทำให้หากมีการฟ้องร้องดำเนินคดีกันตามกฎหมายดังกล่าว
การจะได้รับยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมได้ในกรณีใดบ้างต้องเป็นไปตามที่กฎหมายนั้นกำหนดไว้โดยเฉพาะ
ซึ่งเมื่อพิจารณาหลักเกณฑ์การยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยแล้วจะเห็นว่ากรณีที่จะได้รับการยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมจำกัดเฉพาะกรณีที่คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค
สมาคมและมูลนิธิซึ่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคให้การรับรองเป็นผู้ฟ้องคดีแทนผู้เสียหายเท่านั้น
แต่ถ้าตัว “ผู้เสียหาย”
เป็นผู้ฟ้องเองกลับไม่ได้รับการยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมให้
ตัวอย่างเช่น ในกรณีที่สมชายซื้อรถยนต์มาหนึ่งคัน
หากสมชายฟ้องบริษัทให้เช่าซื้อเพื่อให้จัดการโอนชื่อทางทะเบียนให้แก่ตนกรณีที่สมชายชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนแล้ว
คดีของสมชายถือว่าเป็น “คดีผู้บริโภค”
ที่ได้รับการยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมในการดำเนินกระบวนพิจารณาต่างๆ แต่หากปรากฏว่ารถยนต์คันดังกล่าวมีความบกพร่องจนทำให้เกิดอุบัติเหตุและสมชายได้รับบาดเจ็บ
สมชายจึงต้องการฟ้องร้องบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ให้รับผิดจากการที่รถยนต์ซึ่งบริษัทดังกล่าวผลิตมีลักษณะเป็น
“สินค้าที่ไม่ปลอดภัย”
โดยอาศัยสิทธิตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย
การฟ้องร้องดำเนินคดีของสมชายในกรณีหลังนี้อยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายดังกล่าวที่ไม่ได้กำหนดให้ยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมให้กับกรณีของสมชายด้วย
สมชายจึงต้องชำระค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงตามปกติ
หากสมชายมีฐานะยากจนไม่มีเงินชำระค่าฤชาธรรมเนียมดังกล่าวได้
สมชายก็ต้องไปขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาเหมือนคดีอื่นๆ ตามปกติ
การยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมตามที่กล่าวถึงไปข้างต้นนี้เป็นการยกเว้นให้เฉพาะในการขอดำเนินกระบวนพิจารณาต่างๆ
เท่านั้น เมื่อดำเนินกระบวนพิจารณาต่างๆ ไปจนเสร็จสิ้นและศาลมีคำพิพากษาในคดีนั้น
ตามปกติศาลจะต้องพิจารณากำหนด “ความรับผิด”
ของคู่ความในค่าฤชาธรรมเนียมด้วยว่าสมควรจะให้ฝ่ายใดเป็นผู้รับภาระด้วย
การยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมในที่นี้จึงไม่กระทบต่ออำนาจที่ศาลจะกำหนดภาระ “ความรับผิด” ในค่าฤชาธรรมเนียมที่เรียกว่า “ความรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นที่สุด” ศาลอาจจะกำหนดให้ “ความรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นที่สุด” ตกอยู่แก่ผู้บริโภคก็ได้
ในกรณีดังกล่าวแม้ว่าผู้บริโภคจะได้รับยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนของตนแต่ต้องรับผิดชำระค่าฤชาธรรมเนียมของผู้ประกอบธุรกิจก็ได้
การฟ้องคดีด้วยวาจา
ในการดำเนินคดีแม้แต่การจัดทำและยื่นคำฟ้องก็อาจจะสร้างปัญหาให้กับคนที่ไม่คุ้นเคยได้มากเพราะไม่รู้ว่าจะต้องเขียนเรียบเรียงอย่างไรให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
กฎหมายวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคจึงได้อำนวยความสะดวกให้สำหรับโจทก์ที่จะฟ้องคดีสามารถเลือกได้ว่าจะฟ้องด้วยวาจาหรือเป็นหนังสือก็ได้
ในกรณีที่ฟ้องคดีด้วยวาจา
กลไกหนึ่งที่กฎหมายวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคกำหนดขึ้นคือ “เจ้าพนักงานคดี”
ที่ทำหน้าที่ดูแลรับผิดชอบเกี่ยวกับคดีผู้บริโภค หากมีการฟ้องคดีด้วยวาจา
เจ้าพนักงานคดีจะต้องจัดให้มีการบันทึกรายละเอียดของคำฟ้องซึ่งต้องมีข้อเท็จจริงที่เป็นเหตุของการฟ้องคดีและคำขอบังคับว่าต้องการให้ฝ่ายจำเลยดำเนินการอะไรให้บ้าง
จากนั้นต้องให้โจทก์ลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐานด้วย
คำให้การ
เมื่อมีการฟ้องร้องขึ้นมาแล้ว จำเลยมีหน้าที่ต้องยื่นคำให้การ
แต่หน้าที่ในการยื่นคำให้การในคดีผู้บริโภคนี้จะเกิดขึ้นภายหลังจากที่ในวันนัดพิจารณามีการไกล่เกลี่ยระหว่างคู่ความแล้วไม่สามารถตกลงกันได้
ในกรณีดังกล่าวศาลจะจัดให้มีการสอบถามคำให้การของจำเลย
จำเลยอาจจะยื่นคำให้การเป็นหนังสือหรือจะให้การด้วยวาจาก็ได้
กรณีที่จำเลยให้การด้วยวาจา ศาลจะต้องจัดให้มีการบันทึกคำให้การนั้นแล้วให้จำเลยลงลายมือชื่อไว้ในบันทึกคำให้การที่จัดทำขึ้นนั้น
แต่หากจำเลยไม่ให้การและไม่ได้เป็นกรณีที่ศาลอนุญาตให้ขยายระยะเวลาที่จำเลยสามารถยื่นคำให้การได้จะถือว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
กลไกต่างๆ เหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจต้องฟ้องผู้บริโภคที่ศาลที่ผู้บริโภคมีภูมิลำเนาอยู่
การยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียม หรือการฟ้องด้วยวาจาคงจะทำให้กระบวนการดำเนินคดีผู้บริโภคมีความสะดวกมากขึ้นและทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้มากขึ้น
ศาลที่จะฟ้องคดีผู้บริโภค
· ผู้ประกอบธุรกิจเป็นโจทก์ ฟ้องที่ศาลที่ผู้บริโภคมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล
· ผู้บริโภคเป็นโจทก์
ฟ้องที่ศาลที่มีเขตอำนาจศาลใดก็ได้
ค่าฤชาธรรมเนียม
· ผู้บริโภคหรือผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภคได้รับยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียม
· แต่ศาลอาจกำหนดความรับผิดค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นที่สุดอย่างไรก็ได้
การฟ้อง
· ฟ้องด้วยวาจาหรือเป็นหนังสือก็ได้
คำให้การ
· กรณีที่ไม่สามารถตกลงกันหรือไม่อาจประนีประนอมยอมความกันได้
หากจำเลยยังไม่ได้ยื่นคำให้การ ศาลต้องจัดให้มีการสอบถามคำให้การของจำเลย
· คำให้การจะเป็นหนังสือหรือให้การด้วยวาจาก็ได้
|
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น