การขายตรง การตลาดแบบตรง และการควบคุมโดยกฎหมาย
การขายสินค้าและให้บริการในปัจจุบันมีการพัฒนาให้มีรูปแบบต่างๆ
ที่หลากหลายมากขึ้นทุกวัน แต่เดิมหากเราต้องการจะซื้อหาสินค้ามาใช้เราก็จะไปยัง “แหล่ง” ที่จำหน่ายสินค้านั้น
ไม่ว่าจะเป็นแหล่งที่มีร้านขายสินค้าประเภทที่เราต้องการชุมนุมอยู่รวมกันหลาย ๆ
ร้าน
หรือจะไปยังห้างสรรพสินค้าที่รวมร้านหลากหลายชนิดมาไว้ด้วยกันในบรรยากาศที่เดินชมสินค้าได้อย่างสบายๆ
ในการเดินเลือกซื้อสินค้าลักษณะเช่นนั้นเราอาจจะเดินเข้าไปสอบถามรายละเอียดของสินค้ากับพนักงานขายประจำร้าน
หากมีสินค้าที่เราต้องการก็อาจจะพูดคุยกันต่อไปเรื่องราคาสินค้า
กรณีที่เราเห็นว่าราคาสินค้าสูงกว่าที่เราต้องการจะจ่ายก็อาจจะออกจากร้านไปเพื่อหาซื้อจากร้านอื่นที่ขายของชนิดเดียวกัน
หากเป็นร้านค้าที่สามารถต่อรองราคาได้ก็อาจจะต่อรองราคาดูว่าจะสามารถลดลงมาอยู่ในระดับที่เราสามารถจ่ายได้หรือไม่
กรณีที่ไม่สามารถลดราคาให้ได้
เราก็สามารถเลือกได้ว่าจะตกลงซื้อสินค้าชิ้นนั้นหรือไม่
หรือจะไปหาซื้อที่อื่นต่อไป
การซื้อหาสินค้าหรือบริการในลักษณะข้างต้นนี้
พนักงานขายอาจจะพูดจาชักชวนและหว่านล้อมถึงสรรพคุณของสินค้าต่าง ๆ
นานาเพื่อทำให้เราเห็นว่าสินค้าหรือบริการนั้นมีคุณภาพดีและราคาที่จะต้องจ่ายก็สมเหตุสมผลกับคุณภาพหรือคุณสมบัติของสินค้าหรือบริการนั้น
แต่หากเราไม่พอใจ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของตัวสินค้าหรือราคาที่กำหนด เราก็ “ถอย” ออกมาได้ไม่ยาก ในส่วนของพนักงานขายเอง
ค่าตอบแทนที่พนักงานขายเหล่านั้นได้รับก็จะมีลักษณะที่ไม่ซับซ้อนโดยพนักงานขายอาจจะได้รับเงินเดือนที่แน่นอน
บวกด้วย “ค่าคอมมิชชั่น”
ที่คิดเป็นร้อยละจากยอดขายที่ทำได้ ส่วนตัวสินค้าที่วางขายก็เป็นความรับผิดชอบของเจ้าของสินค้า
พนักงานขายเพียงแต่มาประจำการตามวันเวลาที่กำหนดก็เพียงพอแล้ว
วิธีการขายรูปแบบหนึ่งที่มีการนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายมากขึ้นในปัจจุบันจะให้ผู้ที่ทำหน้าที่ขายสินค้าหรือบริการเป็นฝ่ายไปหาผู้ที่จะเป็นลูกค้าถึงสถานที่ของลูกค้าเอง
สถานที่ดังกล่าวอาจจะเป็นสถานที่ทำงานหรือที่บ้านแล้วแต่ความเหมาะสมในแต่ละกรณี
สิ่งที่นำไปเสนอขายอาจจะเป็นสินค้าตัวอย่างที่นำไปให้ลูกค้าเห็นกับตาและสัมผัสเองกับมือ
หรืออาจจะเป็นหนังสือ “แคตตาล็อก”
สินค้าที่แสดงรูปภาพและรายละเอียดของสินค้าที่จะนำมาเสนอขาย
เหตุผลประการหนึ่งที่ทำให้การขายรูปแบบนี้แพร่หลายมากขึ้นอาจจะเป็นเพราะลูกค้าในปัจจุบันใช้ชีวิตในสังคมที่เต็มไปด้วยความเร่งด่วน
เวลาทุกวินาทีที่ผ่านไปล้วนมีค่า
เวลาที่จะเหลือไปเดินชมสินค้าเป็นเวลานานเริ่มมีน้อยลง
การนำสินค้าไปเสนอขายถึงที่ของลูกค้าจึงเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าวิธีหนึ่ง
นอกจากนั้น ในช่วงที่ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงมีราคาแพง การเดินทางไปตระเวนเพื่อซื้อหาสินค้าอาจจะมีค่าใช้จ่ายที่สูง
หากสามารถเลือกและซื้อสินค้าได้โดยไม่ต้องเดินทางออกจากที่ที่ตนอยู่ย่อมช่วยประหยัดน้ำมันและค่าใช้จ่ายได้อีกทางหนึ่งด้วย
เมื่อเสร็จสิ้นการเลือกชมหรือเลือกซื้อสินค้าแล้ว
ลูกค้าสามารถทำกิจธุระของตนต่อไปได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางอีก
วิธีการทำ “ตลาด”
ด้วยการไปหาหรือเสนอขายต่อลูกค้าถึงสถานที่ของลูกค้านี้แม้จะช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าได้มาก
แต่หากเป็นกรณีที่ลูกค้าไม่ต้องการที่จะซื้อสินค้านั้น หรือไม่ต้องการแม้แต่จะฟังคำบรรยายสรรพคุณของสินค้าหรือบริการที่นำมาเสนอขายแล้ว
ลูกค้าจะหาทาง “ถอย” ได้ยาก หรือเรียกได้ว่าไม่มีทาง
“ถอย” ไปไหนได้
เพราะหากสถานที่ที่มีการเสนอขายสินค้าหรือบริการเป็นสถานที่ของลูกค้าเอง
ไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือที่ทำงาน ลูกค้าไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องอยู่ในที่ดังกล่าว
ทำให้ลูกค้ามีโอกาสตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของวิธีการพูดหรือเสนอขายที่รุกเร้าให้ลูกค้ายอมตกลงซื้อสินค้านั้นในที่สุดได้ง่าย
แม้ว่าในทางปฏิบัติ ทางหนึ่งที่จะทำได้คือการ “เชิญ” ผู้ที่นำสินค้ามาเสนอขายให้ออกไปจากสถานที่ของเรา
แต่ผู้ที่มาเยือนถึงที่ของเราจะมากจะน้อยถือได้ว่าเป็น “แขก” ของเรา การจะเชิญออกไปจึงอาจจะทำให้รู้สึกเหมือนกำลังไล่แขกออกไป
การออกปากไล่จึงทำได้ไม่ง่ายดายนักโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ที่ทำตัวนอบน้อมและพูดจาไพเราะอ่อนหวานที่จะทำให้คนฟังใจอ่อนได้ง่าย
ๆ
การเสนอขายสินค้าด้วยวิธีการเหล่านี้หลาย
ๆ ครั้งเราอาจจะไม่ได้สัมผัสหรือจับต้องสินค้าชิ้นที่จะเป็นของเราจริงๆ
ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ
เพราะสินค้าที่นำมาให้ดูอาจเป็นเพียงสินค้าตัวอย่างที่นำมาให้ดูพอให้รู้ว่าสินค้าที่จะเป็นของเราจะมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร
หรืออาจจะเป็นเพียงแคตตาล็อกสินค้าที่มีแต่รูปภาพ
เมื่อเราตกลงซื้อสินค้าแล้วจึงจะมีการส่งสินค้าชิ้นที่จะเป็นของเราจริง ๆ
มาให้ในภายหลัง ทำให้อาจจะเกิดปัญหาได้ว่าสินค้าชิ้นที่มาถึงมือเราจริง ๆ
ไม่ได้เป็นอย่างที่ได้รับการบรรยายสรรพคุณไว้
การติดต่อกับผู้ขายก็ทำได้ยากเพราะบางครั้งเราอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสถานที่ทำการงานของผู้ขายอยู่ที่ใดกันแน่
เนื่องจากทุกครั้งที่ติดต่อกันฝ่ายผู้ขายจะเป็นผู้มาหาเราถึงสถานที่ที่เราอยู่
ในการใช้วิธีทางการตลาดลักษณะดังกล่าวนอกจากรูปแบบการเสนอขายสินค้าที่แตกต่างออกไปแล้ว
ในส่วนผู้ที่ทำหน้าที่เสนอขายสินค้าหรือบริการเองก็มีความสัมพันธ์กับเจ้าของสินค้าที่แตกต่างออกไปจากกรณีของ
“พนักงานขาย” ในร้านที่เรากล่าวถึงไปในตอนต้น
ความแตกต่างนี้มีทั้งในแง่ของ “ผลประโยชน์ตอบแทน” ที่อาจจะมีทั้งในส่วนที่สัมพันธ์กับยอดขายที่ทำได้
แต่อาจจะมีส่วนที่สัมพันธ์กับการหาผู้มาร่วมเป็นสมาชิกที่จะทำหน้าที่เป็นเครือข่ายในการขายสินค้าหรือบริการด้วย
ทำให้บางครั้งมีการนำวิธีการเหล่านี้ไปใช้ในทางที่หาประโยชน์จากผู้ที่เข้าร่วมเป็นสมาชิกเครือข่ายในการขายสินค้าและบริการ
นอกเหนือจากการมุ่งผลกำไรจากการขายสินค้าให้แก่ผู้บริโภคเพียงอย่างเดียว
ด้วยลักษณะเฉพาะของวิธีการตลาดดังกล่าวนี้เอง
ทำให้มีการออกกฎหมายมากำกับดูแลเพื่อให้ความคุ้มครองทั้งในส่วนของ “ผู้บริโภค”
ที่อาจจะเสียประโยชน์จากการซื้อสินค้าหรือบริการที่เสนอขายด้วยวิธีการนี้
และในส่วนของผู้ที่ทำหน้าที่เสนอขายสินค้าหรือบริการที่เรียกว่า “ตัวแทนขายตรง” หรือ “ผู้จำหน่ายอิสระ” ให้ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบหรือถูกหลอกลวงจากเจ้าของสินค้าหรือบริการ
วิธีการเสนอขายสินค้าที่อยู่ภายใต้ข้อกำหนดของกฎหมายนี้มี 2
ประเภท ประเภทแรกเรียกว่าการ “ขายตรง” อีกประเภทเรียกว่า “การตลาดแบบตรง”
ลักษณะการเสนอขายสินค้าหรือบริการที่จะทำให้เข้าลักษณะเป็นการ
“ขายตรง”
นั้นจะต้องเป็นกรณีที่มีการนำสินค้าหรือบริการไปเสนอขายต่อผู้บริโภคโดยตรง ณ
ที่อยู่อาศัยหรือสถานที่ทำงานของผู้บริโภคหรือผู้อื่น หรือ ณ
สถานที่อื่นที่ไม่ใช่สถานที่ที่ใช้ในการประกอบการค้าเป็นปกติธุระ
และในการเสนอขายสินค้าหรือบริการนั้นเป็นการเสนอขายโดยผ่านผู้ที่เป็น “ตัวแทนขายตรง” หรือ “ผู้จำหน่ายอิสระ”
สำหรับการเสนอขายที่จะเข้าลักษณะเป็นการ
“ตลาดแบบตรง”
นั้นจะต้องเป็นการทำตลาดสินค้าหรือบริการที่มีการสื่อสารข้อมูลเพื่อเสนอขายสินค้าหรือบริการโดยตรงต่อผู้บริโภค
โดยผู้เสนอขายสินค้าหรือบริการกับผู้บริโภคนั้นอยู่ห่างกันโดยระยะทาง
วัตถุประสงค์ของการเสนอขายดังกล่าวก็เพื่อต้องการให้ผู้บริโภคแต่ละรายตอบกลับเพื่อซื้อสินค้าหรือบริการจากผู้ที่เสนอขายสินค้าหรือบริการนั้น
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างวิธีการเสนอขายสินค้าหรือบริการทั้งสองวิธีจึงอยู่ที่
“ความห่าง”
ระหว่างตัวผู้ที่เสนอขายสินค้าหรือบริการนั้นกับผู้บริโภค
ในส่วนการขายตรงนั้นเรียกได้ว่าผู้เสนอขายสินค้าหรือบริการนั้นบุกประชิดถึงตัวผู้บริโภคถึงสถานที่ที่ผู้บริโภคอยู่
แต่ในกรณีการตลาดแบบตรงนั้นผู้เสนอขายสินค้าหรือบริการอยู่คนละที่กับผู้บริโภคในขณะเสนอขายสินค้าหรือบริการ
โดยตลอดช่วงเวลาที่มีการติดต่อซื้อขายสินค้าหรือบริการกันทั้งผู้บริโภคกับผู้เสนอขายอาจจะไม่ต้องพบหน้าค่าตากันเลยก็ได้
นอกจากนั้น สำหรับตัวบุคคลที่ทำหน้าที่เสนอขายสินค้าหรือบริการในการขายตรงได้มีการกำหนดไว้โดยเฉพาะว่าจะถือว่าเป็นการขายตรงต่อเมื่อผู้ที่เสนอขายสินค้าหรือบริการนั้นเป็นบุคคลที่มีความสัมพันธ์กับผู้ประกอบธุรกิจในลักษณะที่เป็น
“ตัวแทนขายตรง” หรือ “ผู้จำหน่ายอิสระ” เท่านั้น
แต่สำหรับกรณีการตลาดแบบตรง ผู้ที่จะทำหน้าที่ติดต่อเสนอขายสินค้าหรือบริการจะมีความสัมพันธ์ลักษณะใดกับผู้ประกอบธุรกิจไม่มีการกำหนดไว้โดยเฉพาะ
จึงอาจจะมีความสัมพันธ์กันในลักษณะใดก็ได้
กรณีที่จะถือว่าเป็น “ตัวแทนขายตรง”
นั้นจะต้องเป็นบุคคลที่ได้รับมอบอำนาจจากผู้ประกอบธุรกิจขายตรงให้นำสินค้าหรือบริการไปเสนอขายตรงต่อผู้บริโภค
ส่วนกรณีของ “ผู้จำหน่ายอิสระ”
นั้นจะต้องเป็นบุคคลที่ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ในสินค้าหรือบริการจากผู้ประกอบธุรกิจขายตรงและได้นำสินค้าหรือบริการนั้นไปเสนอขายตรงต่อผู้บริโภค
เมื่อเรารู้จักสิ่งที่เรียกว่า “ขายตรง” และ “ตลาดแบบตรง” แล้ว
ในส่วนต่อไปเราจะไปกล่าวถึงในส่วนที่กฎหมายให้ความคุ้มครองผู้บริโภคในวิธีการเสนอขายสินค้าหรือบริการด้วยวิธีการดังกล่าวนี้
ขายตรง
· การทำตลาดสินค้าหรือบริการในลักษณะของการนำเสนอขายต่อผู้บริโภคโดยตรง
ณ ที่อยู่อาศัยหรือสถานที่ทำงานของผู้บริโภคหรือของผู้อื่น หรือสถานที่อื่นที่มิใช่สถานที่ประกอบการค้าเป็นปกติธุระ
โดยผ่านตัวแทนขายตรงหรือผู้จำหน่ายอิสระ
ตลาดแบบตรง
· การทำตลาดสินค้าหรือบริการในลักษณะของการสื่อสารข้อมูลเพื่อเสนอขายสินค้าหรือบริการโดยตรงต่อผู้บริโภคซึ่งอยู่ห่างโดยระยะทางและมุ่งหวังให้ผู้บริโภคแต่ละรายตอบกลับเพื่อซื้อสินค้าหรือบริการจากผู้ประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงนั้น
|
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น