ข้อสัญญาที่จำเป็นและที่ห้ามใช้ในสัญญาเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์
ในปัจจุบันคณะกรรมการว่าด้วยสัญญาได้กำหนดให้ธุรกิจหลายประเภทเป็น
“ธุรกิจที่ควบคุมสัญญา” สำหรับรายละเอียดว่าข้อสัญญาประเภทใดบ้างที่เป็นข้อสัญญาที่จำเป็นต้องมีและข้อสัญญาที่ห้ามใช้นั้นแตกต่างกันไปในแต่ละประเภทธุรกิจซึ่งคงไม่สามารถนำมากล่าวถึงได้ทั้งหมด
แต่ในตอนนี้จะขอยกตัวอย่างของสัญญาเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์มาไว้ในที่นี้เพียงบางข้อสัญญาเพื่อประโยชน์ในการทำความเข้าใจและเห็นภาพของข้อสัญญาที่กำหนดให้มีหรือห้ามใช้เหล่านี้
ในสัญญาเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ “ข้อสัญญาที่จำเป็น” อย่างเช่นในกรณีข้อสัญญาที่เกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในรถที่ให้เช่าซื้อและการจดทะเบียนซึ่งมักจะไม่ได้กำหนดรายละเอียดส่วนนี้ที่เป็นภาระหน้าที่ของผู้ให้เช่าซื้อไว้ให้ชัดเจน
แต่หากเป็นภาระหน้าที่ของผู้เช่าซื้อจะกำหนดไว้อย่างละเอียดพร้อมบทลงโทษที่เข้มงวด
ทำให้กรณีที่ผู้ให้เช่าซื้อไม่ปฏิบัติตามภาระหน้าที่เหล่านั้นการฟ้องร้องบังคับคดีในส่วนของผู้เช่าซื้อได้ทำยาก
ประกาศของคณะกรรมการว่าด้วยสัญญาจึงกำหนดข้อสัญญาที่จำเป็นสำหรับกรณีนี้ว่า
“เมื่อผู้เช่าซื้อได้ชำระเงินค่าเช่าซื้อครบถ้วนรวมทั้งเงินจำนวนอื่นใดตามที่กำหนดไว้ในสัญญาแล้ว
กรรมสิทธิ์ในรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ที่เช่าซื้อตกเป็นของผู้เช่าซื้อทันที และผู้ให้เช่าซื้อจะดำเนินการจดทะเบียนรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ดังกล่าวให้เป็นชื่อของผู้เช่าซื้อภายใน
๓๐ วัน นับแต่วันที่ผู้ให้เช่าซื้อได้รับเอกสารที่จำเป็นสำหรับการจดทะเบียนจากผู้เช่าซื้อครบถ้วน
เว้นแต่เป็นกรณีที่มีเหตุขัดข้องที่ไม่สามารถทำการโอนทะเบียนได้โดยมิใช่เป็นความผิดของผู้ให้เช่าซื้อ
หากผู้ให้เช่าซื้อไม่ปฏิบัติผู้ให้เช่าซื้อยินยอมเสียเบี้ยปรับโดยคำนวณจากมูลค่าเช่าซื้อในอัตราเท่ากับอัตราเบี้ยปรับที่ผู้ให้เช่าซื้อกำหนดให้ผู้เช่าซื้อต้องชำระในกรณีผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อ”
ซึ่งจะเห็นได้ว่านอกจากกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับเวลาที่จะถือว่ากรรมสิทธิ์จะโอนไปยังผู้เช่าซื้อให้ชัดเจนแล้วยังกำหนดบทลงโทษสำหรับกรณีที่ผู้ให้เช่าซื้อไม่ดำเนินการจดทะเบียนรถให้เป็นชื่อของผู้เช่าซื้อภายในกำหนดด้วย
แทนที่จะมีแต่บทลงโทษกรณีที่ผู้เช่าซื้อไม่ชำระค่าเช่าซื้อตามกำหนด
นอกจากนั้นตามประกาศยังกำหนดเกี่ยวกับการชำระค่าเช่าซื้อในคราวเดียวเพื่อปิดบัญชีการเช่าซื้อซึ่งแต่เดิมสัญญาอาจจะกำหนดให้ผู้เช่าซื้อต้องชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างอยู่ทั้งหมด
แม้ว่าในค่าเช่าซื้อนั้นจะได้รวมดอกเบี้ยที่ผู้ให้เช่าซื้อคิดเผื่อไว้สำหรับการชำระค่าเช่าซื้อตามระยะเวลาที่กำหนด
ทำให้ผู้เช่าซื้อต้องเสียประโยชน์ที่แม้ตนจะชำระหนี้ก่อนแต่ก็ยังต้องเสียดอกเบี้ยสำหรับระยะเวลาในอนาคตเต็มเวลาด้วย
คณะกรรมการว่าด้วยสัญญาจึงได้กำหนดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ดังนี้
“ในกรณีที่ผู้เช่าซื้อมีความประสงค์จะขอชำระเงินค่าเช่าซื้อทั้งหมดในคราวเดียวโดยไม่ผ่อนชำระค่าเช่าซื้อเป็นรายงวดตามสัญญาเช่าซื้อ
เพื่อปิดบัญชีค่าเช่าซื้อ ผู้ให้เช่าซื้อจะต้องให้ส่วนลดแก่ผู้เช่าซื้อในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ
๕๐ ของดอกเบี้ยเช่าซื้อที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระ…”
สำหรับในส่วนของข้อสัญญาที่ห้ามไม่ให้ใช้ในสัญญาเช่าซื้อนั้นมีหลายลักษณะ
ข้อสัญญาประการหนึ่งที่ประกาศของคณะกรรมการว่าด้วยสัญญาห้ามมิให้ใช้ในสัญญาเช่าซื้อที่ทำกับผู้บริโภคเป็นข้อสัญญาที่ห้ามกำหนดให้ผู้เช่าซื้อต้องรับภาระชำระค่าเช่าซื้อส่วนที่ยังขาดอยู่ให้ครบถ้วนในกรณีที่รถที่เช่าซื้อนั้นสูญหายหรือถูกทำลายโดยมิใช่ความผิดของผู้เช่าซื้อ
เพราะกรณีเช่นนี้ถือว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์ย่อมอยู่กับเจ้าของกรรมสิทธิ์ คือ ผู้ให้เช่าซื้อ
เมื่อเกิดความเสียหายขึ้นอย่างเช่นในกรณีที่เป็นเหตุสุดวิสัย เจ้าของกรรมสิทธิ์ย่อมต้องเป็นผู้รับภาระในความเสียหายที่เกิดขึ้นเอง
การบังคับให้ผู้เช่าซื้อต้องชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างให้ครบจะมีผลทำให้นอกจากผู้เช่าซื้อต้องชดใช้ราคารถที่เหลืออยู่และต้องจ่ายเงินผลประโยชน์ตอบแทนจากการให้เช่าซื้อที่แฝงอยู่ในค่าเช่าซื้อจนครบถ้วนอีกทั้งๆ
ที่ผู้เช่าซื้อไม่ได้ใช้ประโยชน์จากรถคันดังกล่าวแล้ว
ในประกาศจึงได้กำหนดห้ามข้อสัญญาที่มีลักษณะดังต่อไปนี้
“สัญญาที่กำหนดให้ผู้เช่าซื้อต้องรับผิดชำระค่าเช่าซื้อให้ครบถ้วนตามสัญญาในกรณีรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ที่เช่าซื้อสูญหาย
ถูกทำลาย ถูกยึด ถูกอายัด หรือถูกริบโดยมิใช่เป็นความผิดของผู้เช่าซื้อ เว้นแต่ค่าเสียหายหรือเบี้ยปรับหรือค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการทวงถาม
การติดตามรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ที่เช่าซื้อ ค่าทนายความ หรือค่าอื่นใด เพียงเท่าที่ผู้ให้เช่าซื้อได้ใช้จ่ายไปจริงตามความจำเป็นและมีเหตุผลอันสมควร”
ในอีกกรณีหนึ่งของข้อสัญญาที่ห้ามนำมาใช้ในสัญญาเช่าซื้อเป็นข้อสัญญาเกี่ยวกับความรับผิดของผู้เช่าซื้อในกรณีที่มีการบอกเลิกสัญญาและผู้ให้เช่าซื้อได้กลับเข้าครอบครองรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ที่เช่าซื้อแล้วที่อาจจะมีการกำหนดไว้ในสัญญาให้ผู้เช่าซื้อต้องรับผิดชำระเงินค่าเช่าซื้อส่วนที่ขาดอยู่ด้วย
เราได้กล่าวถึงมาแล้วว่าในค่าเช่าซื้อแฝงไว้ด้วยค่าตอบแทนราคารถที่เช่าซื้อบวกด้วยผลประโยชน์ตอบแทนที่ผู้ให้เช่าซื้อคิดจากผู้เช่าซื้อ
ในกรณีนี้หากต้องให้ผู้เช่าซื้อชำระค่าเช่าซื้อจนครบทั้งๆ
ที่ผู้ให้เช่าซื้อได้รับรถกลับคืนไปแล้วจะมีผลทำให้ผู้ให้เช่าซื้อได้ทั้งตัวรถและราคารถที่แฝงอยู่ในค่าเช่าซื้อ
คณะกรรมการว่าด้วยสัญญาจึงได้กำหนดห้ามข้อสัญญาดังต่อไปนี้
“ข้อสัญญาที่กำหนดให้ผู้เช่าซื้อต้องรับผิดชำระเงินตามมูลหนี้ในส่วนที่ขาดอยู่ตามสัญญาเช่าซื้อ
ในกรณีผู้ให้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ และกลับเข้าครอบครองรถยนต์ หรือรถจักรยานยนต์ที่เช่าซื้อ
เว้นแต่ค่าเสียหายหรือเบี้ยปรับหรือค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการทวงถาม การติดตามรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ที่เช่าซื้อ
ค่าทนายความ หรือค่าอื่นใด เพียงเท่าที่ผู้ให้เช่าซื้อได้ใช้จ่ายไปจริงตามความจำเป็นและมีเหตุผลอันสมควร”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น