คดีผู้บริโภคมีอะไรบ้าง
เรารู้กันมาแล้วว่าทำไมจึงต้องมีการกำหนดกฎหมายโดยเฉพาะสำหรับคดีที่เกี่ยวข้องกับ
“ผู้บริโภค” คราวนี้ลองมาดูกันต่อไปว่าแล้วมีคดีประเภทหรือลักษณะอย่างไรที่เราถือว่าเป็น
“คดีผู้บริโภค”
ที่ต้องดำเนินกระบวนพิจารณาตามที่ได้กำหนดขึ้นไว้โดยเฉพาะนี้
บรรดาคดีต่างๆ
ที่เราจะพูดถึงกันต่อไปนี้มีลักษณะที่ร่วมกันอยู่ประการหนึ่งคือคดีทุกประเภทที่จะกล่าวถึงล้วนแล้วแต่เป็น “คดีแพ่ง”
ความหมายที่รวมอยู่ในตัวคือถ้าเป็น “คดีอาญา” ที่มีโทษจำคุกหรือปรับต่างๆ จะไม่ได้อยู่ในขอบเขตของ “กฎหมายวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค” นี้
แม้ว่าในคดีอาญาบางเรื่องเหล่านั้นจะมีส่วนที่เป็นการเรียกร้องทางแพ่งที่เป็น “คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา” ติดไปอยู่ด้วยก็ตาม
ในกรณีแบบนั้นก็ต้องดำเนินการไปตามกระบวนการปกติของคดีอาญา
(1) คดีระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบธุรกิจ
ในส่วนนี้เป็นประเภทของคดีที่กำหนดไว้อย่างค่อนข้างกว้างมากซึ่งหากพิจารณาความหมายโดยรวมแล้วแทบจะกลืนประเภทคดีอื่นไปจนหมด
แต่การที่จะพิจารณาดูว่าคดีประเภทใดบ้างจึงจะถือว่าเข้าข่ายของคดีประเภทนี้
ต้องทำความเข้าใจถึง “คู่ความ” เสียก่อน เพราะการแยกประเภทคดีในกรณีแรกนี้ไม่ได้ดูจาก
“ลักษณะ”
ของคดีที่มีการฟ้องร้องกันว่าเป็นเรื่องอะไรกันบ้าง แต่จะดูจากตัว “คู่ความ”
เป็นสำคัญว่าเป็นเรื่องที่ใครฟ้องกับใคร ดังนั้น แม้จะเป็นเรื่อง “ลักษณะ” เดียวกัน
แต่หากคู่ความแตกต่างกันก็อาจจะต้องดำเนินกระบวนการกันคนละแบบก็ได้
คดีเกี่ยวกับคู่ความแบบหนึ่งอาจจะดำเนินการอย่าง “คดีผู้บริโภค” แต่คดีของคู่ความอีกแบบหนึ่งอาจจะต้องดำเนินการอย่างคดีธรรมดาทั่วๆ ไป เช่น
สมรศรีต้องการจะใช้รถยนต์สักคันเพื่อใช้ขับไปทำงาน
สมรศรีจึงได้ไปขอซื้อมาจากสมศักดิ์ที่เป็นญาติกันที่บังเอิญต้องการจะขายรถที่ใช้อยู่เพื่อไปซื้อคันใหม่
แต่สมรศรีไม่มีเงินสดก้อนใหญ่ที่จะจ่ายค่ารถในคราวเดียวกัน
จึงได้ขอผ่อนจ่ายเป็นงวดๆ โดยทำเป็น “เช่าซื้อ” จากสมศักดิ์ หากสมรศรีผิดนัดไม่ยอมจ่ายเงินตามกำหนดจนสมศักดิ์ทนไม่ไหวต้องการฟ้องเรียกรถคืน
สมศักดิ์ต้องดำเนินการฟ้องร้องเหมือนคดีทั่วๆ
ไปเพราะสมศักดิ์ไม่ได้มีอาชีพเกี่ยวกับการให้เช่าซื้อรถเลย แต่หากเปลี่ยน “บุคคล” ที่เกี่ยวข้องจากสมศักดิ์ที่เป็นญาติกัน
สมรศรีไปซื้อรถจากบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการให้เช่าซื้อรถยนต์
การฟ้องร้องดำเนินคดีนี้ก็จะเปลี่ยนไปทันที จากคดีธรรมดาจะกลายเป็น “คดีผู้บริโภค” ไปตามตัว “บุคคล” ที่เกี่ยวข้อง เพราะฉะนั้นเราจะเริ่มจากการดูกันก่อนว่าใครบ้างที่เราจะเรียกได้ว่าเป็น
“ผู้บริโภค” ตามกฎหมายนี้
ผู้บริโภค
คำว่า “ผู้บริโภค”
ของกฎหมายวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคนี้ได้กำหนดโดยเชื่อมโยงกับความหมายที่ได้ระบุไว้ในกฎหมายฉบับอื่นที่เกี่ยวข้องสองฉบับโดยให้ถือว่าผู้บริโภคตามกฎหมายทั้งสองฉบับนั้นเป็น
“ผู้บริโภค” ตามกฎหมายนี้ด้วย
ฉบับแรกคือ “กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภค” ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภคซึ่งในปัจจุบันได้แก่ “พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522” คนกลุ่มแรกคือ ผู้ซื้อจากผู้ประกอบธุรกิจ แต่คำว่า “ซื้อ” ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเฉพาะในการทำสัญญา “ซื้อขาย” เท่านั้น แต่รวมถึงการที่เราได้สินค้าด้วยการทำนิติกรรมสัญญาชนิดอื่นซึ่งในการได้สินค้านั้นมาเราต้องเสียค่าตอบแทนให้แก่คนที่มอบสินค้าให้เรามา
ไม่ว่าค่าตอบแทนนั้นจะเป็นตัวเงินหรือเป็นประโยชน์อย่างอื่นก็ได้
และไม่ว่าลักษณะการได้มาของสินค้านั้นจะทำให้เราได้ “กรรมสิทธิ์” ในตัวสินค้ามาพร้อมกันด้วยหรือไม่ การได้สินค้ามาโดยเสียค่าตอบแทนในลักษณะเช่นนี้จึงอาจได้แก่การ
“เช่า” หรือ “เช่าซื้อ” ด้วย
คนกลุ่มที่สอง คือ ผู้ได้รับบริการจากผู้ประกอบธุรกิจ ซึ่งจะเป็นจุดที่ทำให้ความครอบคลุมของกฎหมายวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคกว้างกว่ากรณีตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดต่อความเสียหายจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยซึ่งจะใช้บังคับเฉพาะกับกรณีที่เกี่ยวกับ
“สินค้า” เท่านั้น
โดยไม่รวมถึงอันตรายหรือความเสียหายที่เกิดขึ้นจาก “บริการ” ส่วนความหมายของ “บริการ”
นั้นจะเป็นอะไรก็ได้ที่เป็นการทำอย่างหนึ่งอย่างใดให้ การให้ใช้ หรือได้ประโยชน์จากสิทธิ
ทรัพย์สิน หรือกิจการใดๆ แต่ลักษณะสำคัญที่คล้ายกับกรณีของการ “ซื้อ” คือ ต้องเป็นการให้บริการที่เสียค่าตอบแทนเป็นเงินหรือประโยชน์อย่างหนึ่งอย่างใดด้วย
อย่างไรก็ตาม การให้บริการในที่นี้ไม่รวมถึงกรณีของการ “จ้างแรงงาน” ที่เป็นเรื่องระหว่าง “นายจ้าง” กับ “ลูกจ้าง” ที่ต้องไปดำเนินการกันตามกฎหมายเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องของแรงงาน
ทั้งการ “ซื้อ” หรือ การ “ได้รับบริการ” ดังกล่าวข้างต้นนี้จะต้องเป็นการซื้อสินค้าหรือบริการมาเพื่อใช้ประโยชน์ของตนเองหรือคนในครอบครัว
โดยไม่ได้เป็นการซื้อสินค้าหรือบริการมาเพื่อใช้ในการแสวงหากำไรต่อไป เพราะหากเป็นการซื้อสินค้าหรือบริการมาเพื่อแสวงหากำไรแล้ว
ผู้ที่ซื้อสินค้าหรือบริการนั้นมาก็จะเป็น “ผู้ประกอบธุรกิจ” ไป ไม่ใช่เป็น “ผู้บริโภค”
ที่จะอาศัยสิทธิของกระบวนการตามกฎหมายที่กำหนดไว้โดยเฉพาะสำหรับ “ผู้บริโภค” ได้
คนกลุ่มต่อมาคือ “ผู้ใช้สินค้าหรือผู้ได้รับบริการจากผู้ประกอบธุรกิจ” คนกลุ่มนี้อาจจะไม่ได้เป็นคนที่เสียเงินค่าซื้อสินค้าหรือจ่ายค่าตอบแทนสำหรับบริการที่เป็นที่มาของการฟ้องร้องด้วยตนเอง
แต่เป็นคนกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการใช้สินค้าหรือได้รับบริการนั้น เช่นเป็นสมาชิกในครอบครัวของผู้ที่ซื้อสินค้าหรือบริการนั้นมาใช้
เป็นต้น แต่ลักษณะประการสำคัญที่จะทำให้ถือว่าเป็น “ผู้บริโภค” ตามกฎหมายนี้ คือ การใช้หรือได้รับบริการนั้นจะต้องเป็นการได้มาโดยชอบด้วย
หากไปใช้สินค้าหรือบริการโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือความเห็นชอบจากผู้ที่เกี่ยวข้อง
เช่น แอบไปลักขโมยมาใช้ก็จะถือว่าการใช้สินค้าหรือบริการนั้นเป็นการ “ไม่ชอบ”
หากเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นมาก็ไม่สามารถฟ้องร้องหรือดำเนินคดีได้โดยอาศัยกฎหมายวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคได้
นอกจากคนที่เป็น “ผู้บริโภค”
จะดำเนินการฟ้องร้องเองโดยตรงแล้ว บางกรณีอาจจะมีหน่วยงานอื่นที่เข้ามาช่วยปกป้องคุ้มครองสิทธิแทนผู้บริโภคก็ได้
เช่น คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือสมาคมที่คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภครับรอง
เป็นต้น การฟ้องร้องโดยหน่วยงานเหล่านี้ก็อยู่ในขอบเขตของกฎหมายวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคด้วยเช่นกัน
เมื่อเรารู้จัก “ผู้บริโภค” แล้ว ส่วนต่อไปที่จะต้องทำความรู้จัก คือ คนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของธุรกรรมที่เราเรียกว่า
“ผู้ประกอบธุรกิจ”
ผู้ประกอบธุรกิจ
บุคคลที่จะเข้าข่ายเป็น “ผู้ประกอบธุรกิจ” นั้นอาจจะมีได้หลายลักษณะด้วยกัน แต่ลักษณะโดยรวมของบุคคลที่จะถือว่าเป็น
“ผู้ประกอบธุรกิจ”
อาจกล่าวได้ว่าเป็นผู้ที่ซื้อสินค้าหรือบริการมาเพื่อประสงค์จะนำสินค้าหรือบริการนั้นไปขายต่อให้แก่บุคคลอื่นอีกทอดหนึ่ง
โดยไม่ได้ต้องการจะนำสินค้าที่ผลิต ซื้อ หรือนำเข้ามานั้นไปเพื่อการใช้หรือบริโภคของตนเอง
ผู้ประกอบธุรกิจจึงอาจจะประกอบด้วย “ผู้ขาย” “ผู้ผลิตเพื่อขาย” “ผู้สั่งหรือนำเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อขาย” “ผู้ซื้อเพื่อขายต่อซึ่งสินค้า” “ผู้ให้บริการ” “ผู้ประกอบกิจการโฆษณา”
การกระทำของบุคคลต่างๆ
อาจจะมีลักษณะของการ “ขาย” “ผลิต” หรือ “บริการ” ได้อยู่เสมอ เช่น กรณีของสมรศรีที่ซื้อรถยนต์จากสมศักดิ์ที่เป็นญาติของตน
แต่เนื่องจากกรณีสมศักดิ์ไม่ได้ประกอบอาชีพทำธุรกิจเกี่ยวกับการซื้อ หรือให้เช่าซื้อรถยนต์
เพียงแต่ต้องการจะขายรถยนต์คันเก่าที่ตนเองไม่ต้องการใช้แล้วเพื่อจะซื้อคันใหม่แทน
แม้การกระทำของสมศักดิ์จะเป็นการ “ขาย”
แต่เราคงถือไม่ได้ว่าสมศักดิ์เป็น “ผู้ประกอบธุรกิจ” เพราะการ “ขาย” รถยนต์ไม่ได้เป็นเรื่องที่สมศักดิ์ทำเป็นเรื่องปกติทางการค้าของตัวเอง
แต่แม้สมศักดิ์จะเป็นญาติของสมรศรี
แต่หากบังเอิญสมศักดิ์ประกอบอาชีพขายหรือให้เช่าซื้อรถยนต์อยู่แล้วด้วยก็ต้องถือว่าสมศักดิ์เป็น
“ผู้ประกอบธุรกิจ” ด้วยเช่นกัน
(2) คดีเกี่ยวกับความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย
คดีประเภทแรกที่ขอนำมากล่าวถึงก่อนเพราะเกี่ยวข้องกับส่วนที่เราได้กล่าวถึงไปแล้ว
คือ คดีที่เกี่ยวกับความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย
สำหรับตัว “ผู้ซื้อ”
สินค้านั้นเราคงจะเห็นได้ว่าอยู่ในความหมายของ “ผู้บริโภค” ที่เราได้กล่าวถึงไปแล้วได้ไม่ยาก
ทำให้เป็นบุคคลกลุ่มที่สามารถใช้สิทธิตามกฎหมายวิธีพิจารณาความผู้บริโภคได้อยู่แล้ว
แต่บางกรณีบุคคลที่เป็น “ผู้เสียหาย”
อาจจะไม่ได้เป็นผู้บริโภคตามความหมายที่เรากล่าวถึงไปเพราะไม่ใช่ผู้ซื้อหรือใช้สินค้านั้น
เช่น หากรถยนต์ที่มีการผลิตที่บกพร่องทำให้ล้อหลุดกระเด็นจากรถไปชนนาย ก.
ที่บังเอิญเดินอยู่ข้างถนนบริเวณนั้น แน่นอนว่านาย ก. ไม่ได้เป็นผู้ซื้อสินค้า
ในกรณีนี้นาย ก. ก็ไม่ใช่ผู้ใช้สินค้าด้วย เพราะผู้ใช้สินค้าจริงๆ
คือผู้ที่ขับขี่หรือโดยสารรถยนต์คันนั้นในขณะเกิดเหตุ นาย ก.
เกี่ยวข้องเพียงแต่เป็นผู้ได้รับความเสียหายจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยนั้น แม้นาย ก.
จะไม่ถือว่าเป็น “ผู้บริโภค” ตาม “กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภค”
ที่เราได้กล่าวถึงไปแล้ว แต่เมื่อนาย ก.
เป็นผู้เสียหายตามกฎหมายความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย ซึ่งการฟ้องร้องตามกฎหมายดังกล่าวอยู่ในขอบเขตที่ต้องดำเนินการตามกฎหมายวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคด้วย
กฎหมายจึงได้กำหนดไว้โดยเฉพาะให้บุคคลที่เป็น “ผู้เสียหาย”
ทุกคนที่จะใช้สิทธิตามกฎหมายความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยเป็น
“ผู้บริโภค”
เพื่อประโยชน์ในการดำเนินคดีผู้บริโภคด้วยเช่นกัน
(3)
คดีที่เกี่ยวพันกับกรณีทั้งสองข้างต้น
คดีที่จะเข้าข่ายในกรณีที่สามนี้จะไม่ได้กำหนดรายละเอียดหรือหลักเกณฑ์ไว้โดยตรง
แต่จะเป็นคดีกลุ่มที่มีความเกี่ยวพันกับคดีในสองกลุ่มแรกที่เราได้กล่าวถึงไปแล้วก่อนหน้านี้
หากในการฟ้องร้องหรือดำเนินคดีของสองกลุ่มแรกมีส่วนใดที่เกี่ยวพันกับเรื่องอื่นด้วยก็สามารถฟ้องร้องไปด้วยกันและดำเนินคดีอย่างคดีผู้บริโภคเพื่อทำให้เกิดความสะดวกในการดำเนินการ
ไม่ต้องแยกไปฟ้องร้องหรือดำเนินคดีหลายๆ ทางซึ่งอาจจะทำให้เกิดความยุ่งยากมากขึ้นทั้งๆ
ที่วัตถุประสงค์ของกฎหมายวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคคือต้องการทำให้เกิดความสะดวกมากขึ้นในการดำเนินคดี
ทำให้กฎหมายต้องกำหนดให้การดำเนินคดีในส่วนที่เกี่ยวพันกันนี้สามารถดำเนินการรวมกันไปได้
คดีในกลุ่มนี้เช่น
การฟ้องร้องตามสัญญาค้ำประกัน จำนอง จำนำ
ที่เกี่ยวพันกับกรณีที่ผู้บริโภคเป็นคู่ความอยู่ เป็นต้น
(4) คดีที่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะ
สำหรับคดีกลุ่มนี้ขึ้นอยู่กับว่าต่อไปกฎหมายบางฉบับอาจจะกำหนดไว้โดยเฉพาะให้การฟ้องร้องหรือดำเนินคดีใดๆ
ตามกฎหมายดังกล่าวให้ใช้หรือบังคับตามกฎหมายวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคด้วย
หากมีกฎหมายใดที่กำหนดไว้ในลักษณะนั้นก็จะมีผลทำให้คดีตามกฎหมายดังกล่าวกลายเป็น “คดีผู้บริโภค” ไปด้วยเช่นกัน
คดีผู้บริโภค ได้แก่ คดีแพ่งที่เป็น
1.
คดีระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบธุรกิจ
2.
คดีเกี่ยวกับความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย
3.
คดีที่เกี่ยวพันกับกรณีทั้งสองข้างต้น
4.
คดีที่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะ
|
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น