การเปลี่ยนสินค้าให้ใหม่
ในช่วงหนึ่งเราได้ยินข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับกรณีที่มีคนนำรถยนต์ที่ซื้อมาด้วยราคาแพงไปจอดใกล้บริเวณสี่แยกแล้วจัดการทุบรถโชว์ให้คนที่ผ่านไปผ่านมาดู
หรือบางครั้งก็นำรถไปจอดหน้าบริษัทที่ผลิตหรือขายรถยนต์ยี่ห้อดังกล่าวแล้วทุบรถโชว์
หรือมิฉะนั้นก็ติดป้ายที่มีข้อความที่ทำให้บริษัทที่ผลิตหรือขายรถยนต์เสียหาย
การทำสิ่งเหล่านี้เกิดจากการที่ได้ซื้อรถไปแล้วรถมีปัญหาในระหว่างใช้งาน
ปัญหาดังกล่าวอาจจะเกิดขึ้นบ่อยมากและแก้ไขเท่าใดก็ไม่หายจึงได้พยายามเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนรถยนต์คันใหม่ให้แทน
เราทุกคนเมื่อซื้อสินค้ามาใช้งานย่อมต้องหวังให้สินค้านั้นสามารถใช้งานได้ตามวัตถุประสงค์หรือตามการใช้งานปกติของสินค้าชนิดนั้นๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นสินค้าที่เราซื้อมาในราคาแพง การที่ลงทุนซื้อมาในราคาที่สูงกว่ายี่ห้ออื่นก็ด้วยความคาดหวังที่ว่า
“คุณภาพ”
ของสินค้าชิ้นนั้นจะสูงหรือดีกว่ายี่ห้ออื่นด้วย เพราะมิฉะนั้นก็คงไม่มีความจำเป็นต้องเสียเงินมากขึ้น
หากสินค้าที่ซื้อมาไม่สามารถใช้งานได้ดีอย่างที่เราคาดหวัง ทั้ง ๆ
ที่ยังไม่ได้ใช้งานสินค้านั้นมากนักและอายุการใช้งานยังเหลืออีกมากย่อมทำให้เรารู้สึกไม่พอใจเป็นธรรมดา
หากโชคดีที่ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ใหญ่โตนัก เราอาจจัดการซ่อมแซมสินค้านั้นให้สามารถใช้การได้ดีดังเดิม
ปัญหาหรือความเดือดร้อนอาจจะมีไม่มากนัก
แต่ในบางกรณีหรือสำหรับปัญหาบางลักษณะอาจจะไม่สามารถแก้ไขได้โดยง่าย แก้แล้ว
ซ่อมแล้ว ปัญหาก็อาจจะยังไม่หมดไป ปัญหาเหล่านี้อาจจะมีทั้งที่สร้างความรำคาญใจระหว่างการใช้งาน
ปัญหาบางประการอาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้งานได้ เมื่อเกิดปัญหาต่าง ๆ
เหล่านี้สิ่งแรกที่เรามักจะคำนึงถึง คือ ผู้ผลิตหรือผู้ขายสินค้านั้นจะรับผิดชอบแก้ไขปัญหาเหล่านี้ให้แก่เราอย่างไรได้บ้าง
ถ้าเป็นไปได้จะเปลี่ยนสินค้าให้ใหม่ให้ได้หรือไม่
มาตรการเปลี่ยนสินค้าให้ใหม่นี้ย่อมช่วยแก้ไขปัญหาของสินค้าที่ชำรุดบกพร่องได้
เพราะการได้สินค้าใหม่มาใช้งานแทนย่อมทำให้ผู้ซื้อหรือผู้ใช้สินค้าไม่ต้องมารำคาญใจกับปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างการใช้งานอีกต่อไป
แต่อย่างไรก็ตามมาตรการดังกล่าวนี้หากใช้อย่างเกินความเหมาะสมก็จะสร้างภาระให้เกิดแก่ผู้ประกอบธุรกิจมากเช่นกัน
ภาระดังกล่าวเมื่อเกิดขึ้นแล้วย่อมถูกกระจายไปในราคาสินค้าที่ขายให้แก่ผู้บริโภคในฐานะเป็นต้นทุนทางธุรกิจประเภทหนึ่ง
และหากความเสี่ยงของการเกิดค่าใช้จ่ายประเภทนี้มีมาก แรงจูงใจที่จะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ
ออกสู่ท้องตลาดอาจจะมีน้อยลงด้วย เพราะผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ
ย่อมมีโอกาสที่จะเกิดข้อบกพร่องได้ง่าย ไม่เหมือนกับสินค้าที่ผลิตและใช้งานมานานที่แก้ไขข้อบกพร่องจนแทบไม่เหลือแล้ว
ทำให้ผู้บริโภคอาจจะเสียโอกาสที่จะได้ใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ
หรือต้องใช้เวลานานขึ้นกว่าได้ใช้สินค้าเหล่านี้ แต่อย่างไรก็ตาม
ในบางกรณีที่เป็นความจำเป็นอย่างยิ่งจนมาตรการอื่น ๆ
ไม่สามารถแก้ไขความเดือดร้อนได้แล้วก็อาจจำเป็นต้องใช้มาตรการเปลี่ยนสินค้าให้ใหม่ได้
กฎหมายวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคได้กำหนดให้
“มาตรการเปลี่ยนสินค้าให้ใหม่”
เป็นวิธีการหนึ่งในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้แก่ผู้บริโภคในคดีที่ฟ้องให้ผู้ประกอบธุรกิจเป็นจำเลยให้รับผิดในความชำรุดบกพร่องของสินค้า
แต่เพื่อเป็นหลักประกันที่จะทำให้การใช้มาตรการดังกล่าวนี้จำกัดแต่เฉพาะกรณีที่มีความจำเป็นอย่างแท้จริงเท่านั้น
กฎหมายวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคได้กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของการจะนำมาตรการดังกล่าวมาใช้ไว้ด้วย
กรณีที่จะสามารถเปลี่ยนสินค้าให้ใหม่ได้จะต้องเป็นกรณีของความชำรุดบกพร่องที่มีอยู่ในขณะส่งมอบสินค้า
เนื่องจากความชำรุดบกพร่องนั้นเป็นความผิดของผู้ผลิตที่อาจจะเกิดจากความผิดพลาดในกระบวนการผลิต
ความชำรุดบกพร่องในที่นี้ไม่จำเป็นจะต้องได้ก่อให้เกิด “อันตราย” แก่ผู้ใช้งานแล้ว เพียงแต่ปรากฏความชำรุดบกพร่องขึ้นก็เพียงพอแล้ว
หรือแม้จะส่งผลเกิด “อันตราย”
ขึ้นแล้วและทำให้เกิดกรณีที่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยก็อาจจะใช้สิทธินี้ได้เช่นกัน
ข้อสังเกตประการหนึ่งเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างกฎหมายว่าด้วยความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยกับกฎหมายวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคในส่วนที่เกี่ยวกับการเรียกร้องให้รับผิดต่อความชำรุดบกพร่องของสินค้า
คือ ค่าเสียหายตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยไม่รวมถึงค่าเสียหายต่อตัวสินค้าที่ชำรุดบกพร่องจนกลายเป็นสินค้าที่ไม่ปลอดภัย
แต่ในกรณีนี้เป็นการใช้สิทธิเกี่ยวกับตัวสินค้าที่ชำรุดบกพร่องนั้นเอง
จึงอาจกล่าวได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งที่กฎหมายวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคให้ความคุ้มครองเพิ่มเติมจากส่วนที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย
การที่บอกว่าความชำรุดบกพร่องใดเป็น
“ความชำรุดบกพร่องที่มีอยู่ในขณะส่งมอบสินค้า” หรือไม่ บางครั้งอาจจะแยกความแตกต่างได้ยาก
แต่หากความชำรุดบกพร่องนั้นเกิดขึ้นภายหลังจากใช้สินค้าไม่นานนัก โอกาสที่จะเป็น “ความชำรุดบกพร่องที่มีอยู่ในขณะส่งมอบสินค้า”
ก็จะมีสูง แต่ในขณะเดียวกัน
หากความชำรุดบกพร่องนั้นเกิดขึ้นภายหลังจากใช้สินค้าไปนานพอสมควรแล้วก็เป็นไปได้มากเช่นกันที่ความชำรุดบกพร่องเหล่านั้นจะเกิดจากความเสื่อมของวัสดุอุปกรณ์ที่เป็นไปตามสภาพการใช้งานได้
หรือแม้แต่ซื้อสินค้าไปแล้วแต่ไม่ได้ใช้งาน
เมื่อเวลาผ่านไปพอสมควรสินค้าก็อาจเสื่อมสภาพได้เช่นกัน การที่สินค้าเกิดความชำรุดบกพร่องเนื่องจากสภาพการใช้งานเหล่านี้คงจะไม่สามารถผลักภาระให้ผู้ประกอบธุรกิจต้องรับภาระได้เพราะไม่ว่าสินค้านั้นจะผลิตดีอย่างไรเมื่อใช้งานไปย่อมต้องเสื่อมสภาพอยู่ดี
ปัญหาประการหนึ่งที่อาจจะเกิดขึ้นและทำให้เกิดข้อโต้แย้งว่าความชำรุดบกพร่องนั้นมีอยู่ในขณะส่งมอบสินค้าหรือไม่
ได้แก่ กรณีที่ผู้บริโภคซื้อสินค้าไปแล้วทำการดัดแปลงสภาพบางประการของสินค้า
ไม่ว่าจะเพื่อวัตถุประสงค์ของความสวยงาม
ความสะดวกในการใช้สอยหรือวัตถุประสงค์อื่นใด ทำให้แยกแยะได้ยากว่าความชำรุดบกพร่องนั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่ในขณะส่งมอบ
หรือเกิดจากสภาพของสินค้าที่ถูกดัดแปลงไปหรือจากอุปกรณ์ที่มีการติดตั้งเพิ่มเติม การแยกแยะจึงต้องตรวจสอบว่าความชำรุดบกพร่องนั้นเป็นส่วนที่ได้รับผลกระทบจากการดัดแปลงสภาพสินค้านั้นหรือไม่
หากการดัดแปลงสภาพนั้นไม่กระทบหรือไม่มีโอกาสที่จะทำให้เกิดความชำรุดบกพร่องดังกล่าวก็อาจเป็นไปได้ที่ความชำรุดบกพร่องนั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่ในขณะส่งมอบสินค้า
แต่กรณีของการดัดแปลงสินค้านี้ทำให้เกิดความเสี่ยงได้มากว่าจะส่งผลให้ความชำรุดบกพร่องที่เกิดขึ้นอาจจะไม่ได้มีอยู่ในขณะส่งมอบสินค้า
แม้สินค้าที่ผู้บริโภคซื้อมาจะมีความชำรุดบกพร่องอยู่ในขณะที่ได้รับมอบสินค้ามา
แต่การจะขอให้เปลี่ยนสินค้าให้ใหม่ได้จะต้องเป็นกรณีที่ความชำรุดบกพร่องนั้น
(ก) ไม่อาจแก้ไขให้กลับคืนสภาพที่ใช้งานได้ตามปกติ หรือ (ข)
แม้จะแก้ไขแล้วแต่หากนำไปใช้บริโภคแล้วอาจเกิดอันตรายแก่ร่างกาย สุขภาพ หรืออนามัยของผู้บริโภคที่ใช้สินค้านั้น
หากเป็นกรณีที่สินค้านั้นอยู่ในวิสัยที่จะแก้ไขให้ผู้บริโภคสามารถใช้งานได้ตามปกติก็คงจะไม่สามารถขอให้เปลี่ยนสินค้าใหม่ได้
เพราะการดำเนินการแก้ไขย่อมจะทำให้เกิดภาระและค่าใช้จ่ายน้อยกว่า
แต่อย่างไรก็ตามหากการแก้ไขนั้นไม่สามารถทำให้สินค้านั้นปลอดภัยจนถึงขนาดที่ความชำรุดบกพร่องที่เคยเกิดขึ้นจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภคที่เป็นผู้ใช้งานสินค้านั้น
ผู้บริโภคก็อาจจะขอให้เปลี่ยนสินค้าให้ใหม่ได้
ในกรณีที่มีการเปลี่ยนสินค้าให้ใหม่
ผู้บริโภคอาจจะได้ประโยชน์จากการที่ได้ใช้สินค้าชิ้นเดิมไปแล้วเป็นระยะเวลาหนึ่ง
การได้สินค้าใหม่มาทดแทนจึงอาจจะทำให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์จากการใช้สินค้าชิ้นเดิมไปโดยไม่ต้องเสียค่าตอบแทน
หรือสินค้าชิ้นเดิมที่ผู้ประกอบธุรกิจรับคืนไปนั้นอาจจะมีสภาพความเสียหายประการอื่นนอกเหนือจากความชำรุดบกพร่องที่มีอยู่ในขณะส่งมอบซึ่งเป็นผลมาจากการใช้งานของผู้บริโภค
ในกรณีเหล่านี้ผู้บริโภคเองอาจจะต้องชดใช้เงินตอบแทนให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจเพื่อชดเชยสำหรับประโยชน์ที่ตนได้รับในระหว่างการใช้สินค้าชิ้นเดิมหรือชดเชยสำหรับค่าเสียหายที่ตนทำให้เกิดขึ้นต่อสินค้าที่ถูกเปลี่ยนไปเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทั้งสองฝ่ายและทำให้ไม่มีใครได้ประโยชน์ที่ไม่ควรได้ไป
การฟ้องร้องดำเนินคดีเกี่ยวกับความชำรุดบกพร่องนี้ตามปกติผู้บริโภคย่อมต้องฟ้องร้องต่อตัว
“ผู้ขาย”
สินค้าชิ้นนั้นให้แก่ตนเพราะบุคคลดังกล่าวเป็นผู้ที่ตนมี “นิติสัมพันธ์” ในฐานะผู้ซื้อผู้ขายด้วย
แต่ผู้ขายในกรณีดังกล่าวนี้อาจจะไม่ได้เป็นผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าสินค้าชิ้นนั้นเข้ามา
หากต้องมีการเปลี่ยนสินค้าจริง
ผู้ขายย่อมต้องไปดำเนินการเรียกร้องเอาจากผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าสินค้านั้นมาอีกทอดหนึ่ง
กฎหมายวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคจึงได้กำหนดให้ศาลอาจมีคำสั่งเรียกผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าที่ไม่ได้ถูกฟ้องเป็นจำเลยเข้าในคดีได้ด้วยและสามารถพิพากษาให้ผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าเหล่านี้รับผิดร่วมกับผู้ประกอบธุรกิจที่เป็นจำเลยได้เพื่อให้การดำเนินการต่างๆ
เสร็จสิ้นไปในคราวเดียวกัน และหากผู้ผลิตหรือผู้นำเข้ามีข้อต่อสู้เกี่ยวกับความชำรุดบกพร่องที่เกิดขึ้นอย่างไรก็จะได้นำเสนอให้พิจารณาไปพร้อมกัน
หากต้องดำเนินการแยกต่างหากจากกันนอกจากจะสร้างกระบวนการและขั้นตอนเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็นแล้วยังอาจจะทำให้
“ผล”
ของคดีทั้งสองแตกต่างกันได้อีกด้วย
การเปลี่ยนสินค้าให้ใหม่
ในคดีที่ผู้บริโภคฟ้องให้ผู้ประกอบธุรกิจรับผิดในความชำรุดบกพร่องของสินค้า
ศาลอาจพิพากษาให้ผู้ประกอบธุรกิจเปลี่ยนสินค้าให้ใหม่ได้ หากปรากฏว่า
· ความชำรุดบกพร่องนั้นมีอยู่ในขณะส่งมอบสินค้า
และ
· ความชำรุดบกพร่องนั้น
o
ไม่อาจแก้ไขให้กลับคืนสภาพที่ใช้งานได้ตามปกติ
หรือ
o
แม้แก้ไขแล้วแต่หากนำไปใช้บริโภคอาจเกิดอันตรายแก่ร่างกาย
สุขภาพ หรืออนามัยของผู้บริโภคที่ใช้สินค้านั้น
ในกรณีที่ศาลพิพากษาให้เปลี่ยนสินค้าให้ใหม่
ศาลอาจสั่งให้ผู้บริโภคชดใช้ค่าใช้ทรัพย์หรือค่าเสียหายได้
หากปรากฏข้อเท็จจริงว่า
· ผู้บริโภคได้รับประโยชน์จากการใช้สินค้านั้น
หรือ
· ผู้บริโภคได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่สินค้านั้น
กรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจที่เป็นจำเลยไม่ใช่ผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า
ศาลอาจมีคำสั่งเรียกบุคคลต่อไปนี้เข้ามาในคดีได้
· ผู้ผลิต
· ผู้นำเข้า
|
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น